Custom Search

04 กันยายน 2553

รักไม่ต้องการเวลา

ฉันคิดว่ารักมันคือความผูกพัน


คิดว่ารักแท้ต้องเดินผ่านวันและเวลา

ยิ่งเนิ่นนานนานไปเท่าไร ความรักยิ่งมีค่า

ที่ฉันรู้ที่เคยฝัน รักที่ฉันเคยเข้าใจ

ไม่คิดไม่ฝันเมื่อเธอผ่านเข้ามา

เหมือนว่าสายตาฉันเองมองไม่เห็นใครๆ

หยุดที่เธอแค่เพียงสบตา และวินาทีนั้น

โลกทั้งโลกหยุดเคลื่อนไหว ท้องฟ้ากลับสดใส

ลมหายใจ เหมือนหยุดไปในห้วงนาทีนี้

เช่นหัวใจ ลอยหลุดไปทันทีที่สบตา

เธอหยุดยั้งวันเวลา แค่เราได้พบกันในวันนี้

แค่พบเจอกับเธอ

ฉันเพิ่งเข้าใจว่ารักเป็นอย่างนี้

ฉันเพิ่งเข้าใจเมื่อได้มาเจอด้วยตัวเอง

เสี้ยวนาทีก็มีความหมาย เปลี่ยนโลกได้ทั้งใบ

ฉันเพิ่งรู้ในวันนี้ รักไม่ต้องการเวลา

ลมหายใจ เหมือนหยุดไปในห้วงนาทีนี้

เช่นหัวใจ ลอยหลุดไปทันทีที่สบตา

เธอหยุดยั้งวันเวลา แค่เราได้พบกันในวันนี้

แค่พบเจอกับเธอ ก็รักเธอ ฉันรักเธอ

ลมหายใจ เหมือนหยุดไปในห้วงนาทีนี้

เช่นหัวใจ ลอยหลุดไปทันทีที่สบตา

เธอหยุดยั้งวันเวลา แค่เราได้พบกันในวันนี้

แค่พบเจอกับเธอ

เหมือนหัวใจ เหมือนหยุดไปในห้วงเวลานี้

เมื่อพบเธอ ความรักที่เคยเข้าใจก็เปลี่ยนไป

ไม่ต้องใช้วันเวลา แค่เราได้พบกันในวันนี้

แค่พบเจอกับเธอ ก็รักเธอ ฉันรักเธอ



ทำในสิ่งที่รัก คือ อิสระ

รักในสิ่งที่ทำ คือ ความสุข

เมื่อ "รักเรา" ไม่ใช่ที่หนึ่ง

การไม่ได้เป็นที่ "หนึ่ง" ในใจคนที่เรารักนั้น


ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสมอไป

การเป็นที่สอง ในใจเขานั้น ย่อมดีกว่าการเป็นที่สาม ที่สี่

หรือถึงแม้ว่า . . . เราจะเป็นที่สุดท้าย

แต่มันก็ยังดีกว่า การที่เราไม่ได้อยู่ในใจเขาคนนั้นเลยไม่ใช่หรือ

จงยิ้มให้ความรัก และ รักต่อไปเถอะ

แม้ว่า . . . รักนั้นอาจไม่ใช่ที่หนึ่ง

จนกว่าที่เรา จะบอกกับตัวเองว่า . . .

"เราทนอีกต่อไป ไม่ได้แล้ว

เราเหนื่อยกับรัก ที่เป็นเช่นนี้เหลือเกิน"

การรักใครสักคนนั้น . . .

ง่ายกว่าการตัดใจ จากใครสักคนนัก

การสบตา จากใครสักคนนั้น . . .

ย่อมมีความสุข กว่าการหลบตาใครสักคน เป็นแน่แท้

จะมีสักกี่คน ที่สามารถทำให้เรายิ้มได้ . . .

. . . อย่างสุดหัวใจ และเศร้าได้อย่างสุดหัวใจ

อย่า . . . โทษเขา ที่ไม่ได้รักเรา

อย่า . . . โทษพรหมลิขิตที่ทำให้เราเจอกัน แต่ไม่ได้ทำให้เรารักกัน

อย่า . . . โทษหัวใจตัวเองที่ไปรักเขา

อย่า . . . โทษกาลเวลาที่ทำให้เราเจอกันช้าไป

จงมีความสุข และยิ้มให้กับสิ่งต่าง ๆ เถอะ

ยิ้มให้กับคนที่เขาไม่รักเรา . . .

เพราะอย่างน้อยเขาก็คือ คนที่ได้รับความรักจากเรา

ยิ้มให้กับพรหมลิขิต ที่ทำให้เราเจอกันถึงแม้เราจะไม่ได้รักกัน . . .

เพราะอย่างน้อยพรมลิขิต ก็ยังได้ทำให้เราได้รู้จักกัน

ยิ้มให้กับหัวใจตัวเอง ที่ไปรักเขา . . .

เพราะอย่างน้อยหัวใจของเรา ก็ยังได้เรียนรู้กับความรัก

ยิ้มให้กับกาลเวลา ที่ทำให้เราเจอกันช้าไป . . .
เพราะอย่างน้อย ก็ยังทำให้เราได้เจอกัน

เราควรดีใจไม่ใช่หรือ ที่อย่างน้อยเรายังยิ้มให้กับคนที่เรารักได้

เมื่อคุณเศร้า

แก้วกาแฟใบโปรด..แตกไปเสียแล้ว


เก็บไว้ก็บาดมือ...

ความรัก...จากไปเสียแล้ว

เก็บไว้ก็บาดใจ...



------------ ------------



สำหรับความรักที่ผ่านมา

ควรแยกให้ได้ว่า อะไรควรจำไว้ประทับใจ

อะไรควรจำไว้เป็นบทเรียน



------------- -------------



ค่ำคืนแห่งความเงียบเหงา

ไม่ได้ยาวนานไปกว่าคืนไหนๆ หรอก

อีกไม่นานก็เช้า ชีวิตก็วุ่นวายเหมือนเดิมแล้ว



------------ --------------



หนังสือเล่มไหนที่อ่านแล้วไม่ถูกใจ

ก็ไม่ต้องกลับไปอ่านรอบสอง

ความทรงจำที่นึกถึงแล้วเจ็บปวด

ก็อย่าไปนึกถึงมันเป็นครั้งที่สอง



------------ --------------



เมื่ออ่อนแอจนถึงที่สุด

ความเข้มแข็งจะเข้ามาแทนที่



------------ --------------



เมื่อเธออยากให้หัวใจมีความรัก

ก็ต้องยินยอมที่จะให้มันเจ็บปวด

เหมือนเด็กที่อยากจะเดิน

ก็ต้องยินยอมที่จะล้มลุกคลุกคลาน



------------ --------------



ความรู้สึกสูญเสีย ร้ายแรงเสมอ

สำหรับคนที่ไม่ยอมรับความจริง



------------- -------------



ความเจ็บปวด

ไม่ได้ต้องการเวลาเพียงไม่กี่วันในการรักษา

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า

เธอจะเลิกเจ็บปวดเมื่อไหร่

แต่มันอยู่ที่ว่า

เธอจะใช้ชีวิตในขณะที่ยังเจ็บปวดอย่างไรต่างหาก



------------- -------------



คนที่ควรรัก...อาจไม่ใช่คนที่เธอรัก

อาจไม่ใช่คนที่รักเธอ

อาจไม่ใช่คนที่รักกันมาก่อน

อาจไม่ใช่คนที่กำลังรักอยู่

อาจไม่ใช่คนที่คิดจะรัก

แต่คนที่ควรรัก...

อาจเป็นคนที่เธอยังไม่เคยรักเลยก็ได้











--





ความดีก็เหมือนกางเกงใน ต้องมีติดตัวไว้แต่ไม่ต้องเอามาโชว์

02 กันยายน 2553

เมื่อเรารักกันแล้ว

ตั้งแต่แรกเริ่ม ครอบครัวของหญิงสาวก็กีดกั้นไม่ให้หญิงสาวคบกับชายหนุ่ม บอกว่าบ้านชายหนุ่มไม่มีฐานะเทียบเท่าบ้านเธอ ถ้าหญิงสาวไปอยู่กับชายหนุ่มก็จะต้องทนลำบากทั้งชีวิต ความกดดันจากทางบ้านทำให้หญิงสาวอารมณ์ไม่ค่อยดีเสมอ และทะเลาะกับชายหนุ่มอยู่เรื่อย หญิงสาวนั้นรักชายหนุ่มมาก เธอถามชายหนุ่มบ่อยครั้งว่า “เธอรักฉันมากขนาดไหน?” แต่ชายหนุ่มเป็นคนพูดไม่เก่ง ทำให้หญิงสาวโกรธเขาหลายครั้ง บวกกับคำพูดของพ่อแม่เธอ ยิ่งทำให้หญิงสาวอารมณ์เสียมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มจึงกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของเธอ เขาก็ทนยอมรับอย่างเงียบๆโดยไม่ว่าหญิงสาวเลยสักคำ หลังจากนั้น ชายหนุ่มเรียนจบมหาลัยแล้ว ตัดสินใจจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ก่อนไป เขาเอ่ยปากขอแต่งงานกับหญิงสาว “ผมอาจจะเป็นคนพูดไม่เก่ง ปากไม่หวาน แต่ผมรู้ว่าผมรักคุณมาก ถ้าคุณตกลงใจยินดี ผมก็จะดูแลปกป้องคุณตลอดชีวิต สำหรับครอบครัวคุณ ผมจะพยายามทำให้พวกเขายอมรับในตัวผม แต่งงานกับผมเถอะนะ ได้ไหม?”

หญิงสาวตอบตกลงชายหนุ่ม และด้วยความพยายามของชายหนุ่ม พ่อแม่ของหญิงสาวก็ยอมรับเขา ในที่สุด ชายหนุ่มและหญิงสาวได้หมั้นกัน ก่อนที่ชายหนุ่มจะไปเมืองนอกไม่นานนัก ชายหนุ่มไปเรียนหนังสืออยู่ต่างแดนเพียงลำพัง ส่วนหญิงสาวก็คงยังอยู่ภายในประเทศ และออกมาทำงานแล้ว ชายหนุ่มไม่อาจกลับมาเยี่ยมหญิงสาวได้ เพราะเขาต้องใช้เงินอย่างประหยัด ส่วนหญิงสาวก็ไม่มีเวลาไปหาชายหนุ่มได้ ทั้งสองจึงได้แต่เพียงติดต่อกันผ่านโทรศัพท์และจดหมาย แต่ถึงกระนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็คงยังมั่นคงมิได้เปลี่ยนแปลงสักนิด วันหนึ่ง หญิงสาวออกจากบ้านไปทำงานตามปกติ ระหว่างทางที่เดินไปสู่ป้ายรถเมลล์ มีรถคันหนึ่งได้พุ่งตรงเข้าหาเธอ………… เมื่อหญิงสาวฟื้นขึ้นมา เธอเห็นพ่อแม่อยู่ข้างเตียง ถึงเพิ่งรู้ว่าเธอประสบอุบัติเหตุและบาดเจ็บสาหัส โชคยังดีที่ว่าไม่ถึงกับชีวิต หญิงสาวเห็นพ่อแม่เธอร้องไห้โศกเศร้าไม่หยุด จึงเอ่ยปากคิดจะปลอบโยนพวกเขา แต่เธอได้พบว่า… เธอพูดอะไรออกมาไม่ได้เลยสักคำ เธอพยายามที่จะเปล่งเสียงออกมาให้ได้ แต่ก็ทำได้แค่มีเสียงคล้ายเสียงหอบเท่านั้น หญิงสาวกลายเป็นใบ้ไปเสียแล้ว… หมอบอกว่าเพราะอุบัติเหตุครั้งนี้ หญิงสาวนอกจากบาดเจ็บที่ขาแล้ว สมองยังถูกกระทบกระเทือน เพราะฉะนั้นหญิงสาวจะพูดอะไรไม่ได้อีกเลยชั่วชีวิต หญิงสาวได้แต่รับฟังคำปลอบโยนของพ่อแม่เธอ แต่เธอไม่สามารถที่จะตอบอะไรได้เลย หญิงสาวสิ้นหวังแล้ว… หญิงสาวได้แต่ร้องไห้ไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน… หลังจากนั้น หญิงสาวออกจากโรงพยาบาลและพักอยู่ที่บ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังเป็นเช่นเดิม มีแต่เพียงเสียงโทรศัพท์ในห้องเธอ กลายเป็นฝันร้ายที่มาทรมานเธอ แต่ละครั้งที่เสียงโทรศัพท์ดัง เป็นเหมือนดังมีดคมทิ่มแทงเข้าไปในใจเธอ ความทรมานที่เธอต้องทนรับก็ไม่อาจจะบอกให้ชายหนุ่มรู้ได้ เธอไม่อยากเป็นตัวถ่วงของเขา จึงเขียนจดหมายบอกชายหนุ่มว่าเธอไม่อยากจะรอเขาอีกต่อไป เธอกับเขาจบสิ้นกันแล้ว และเธอก็ส่งแหวนหมั้นกลับไปให้เขาด้วย หญิงสาวไม่รู้จะทำอย่างไรได้ กับจดหมายและโทรศัพท์ของชายหนุ่มที่มีมาไม่ขาด เธอได้แต่น้ำตาไหลรินเต็มหน้าทุกวัน
พ่อของหญิงสาวไม่อาจทนเห็นเธอต้องทนทรมานเช่นนี้อีกต่อไป จึงตัดสินใจย้ายบ้าน หวังอยากให้หญิงสาวลืมความทุกข์นั้นและอยู่อย่างมีความสุขมากกว่านี้ เมื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมแล้ว หญิงสาวก็ดีขึ้นหน่อย เธอค่อยๆหัดเรียนใช้ภาษามือแทนคำพูด ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มต้นใหม่ เธอบอกกับตัวเองเสมอว่าให้ลืมชายหนุ่มเสีย วันหนึ่ง เพื่อนสนิทของหญิงสาวบอกกับเธอว่า ชายหนุ่มกลับมาแล้ว และออกตามหาเธอไปทั่ว หญิงสาวขอร้องเพื่อนเธอว่า อย่าบอกเรื่องของเธอให้ชายหนุ่มรู้ เรียกให้เขาลืมเธอเสีย หลังจากนั้น เธอก็ไม่ได้รับรู้ข่าวคราวของชายหนุ่มอีกเลย เวลาผ่านไปได้ปีกว่า เพื่อนของหญิงสาวมาบอกกับเธออีกว่า ชายหนุ่มจะแต่งงานแล้วและขอร้องให้เธอเอาการ์ดแต่งงานมาให้หญิงสาว หญิงสาวได้รับฟังแล้วก็เศร้าใจมาก เธอเปิดการ์ดนั้นด้วยมือสั่น แต่กลับเห็นชื่อเธอเองบนการ์ดใบนั้น เมื่อหญิงสาวกำลังจะถามเพื่อน ชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเธอ ใช้ภาษามือที่แข็งกระด้างบอกกับหญิงสาวว่า
“ผมใช้เวลาปีกว่าที่ผ่านมา บังคับให้ตัวเองหัดใช้ภาษามือให้ได้ เพื่อที่จะบอกกับคุณว่า ผมไม่เคยได้ลืมสัญญาระหว่างเราสองคนเลย โปรดให้โอกาสผมได้เป็นเสียงให้แทนคุณ ผม-รัก-คุณ”

ความรัก กับ รองเท้า

ความรัก กะ รองเท้าที่ไม่พอดี
วันหนึ่ง .........ฉันอยากได้รองเท้า ฉันเดินเข้าไปในร้านที่มีรองเท้าหลากสี-หลายแบบวางเรียงราย

ร้ า น แ ล้ ว ร้ า น เ ล่ า

แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รองเท้าถูกใจกลับไปด้วยแม้แต่คู่เดียว

เลือกแล้ว__________ เลือกอีกจนในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้ากระจกร้านหรูแห่งหนึ่ง

รองเท้าส้นสูงสีส้มคู่นั้นสะท้อนเงาเฉิดฉายผ่านกระจกออกมาแตะตาฉันตั้งแต่แรกเห็น
มันช่างเป็นรองเท้าที่สวยจนอยากมีไว้ประดับคู่เท้าในทุกย่างก้าว


โดยไม่รอรี......ฉันเดินตรงลิ่วเข้าไปหามัน

แม้ป้ายราคาเล็ก-เล็กที่ติดเอาไว้จะบอกราคาที่ไม่เล็กนัก

แต่ฉันไม่ลังเลสักนิดเดียวที่จะจ่ายเงินจำนวนนั้นออกไปเพื่อให้ได้รองเท้าที่ถูกใจที่สุดในวันนี้

"แน่นนิดนึงนะคะ...มีคู่ใหม่ที่ใหญ่กว่านี้มั้ย"

ฉันถามพนักงานขายขณะที่กำลังพยายามสอดเท้าลงไปในรองเท้าคู่สวยให้พอดี แล้วพบว่ามันพอดิบ-พอดีจนขยับเท้าไม่ได้


"ไม่มีหรอกค่ะ....เรามีแบบละคู่เท่านั้น รับรองว่า ใส่แล้วไม่ซ้ำแบบใคร"
พนักงานขายเสนอข้อได้เปรียบในการซื้อสินค้า

"แต่ดิฉันว่าใส่แล้วก็พอดีนะคะ เผื่อมันยืดออกอีกนิดหน่อย"
เธอยังคงเสนอต่อเมื่อเห็นแววตาที่ฉันชื่นชมสินค้าของเธอ

- - เย็นวันนั้นฉันกลับบ้านด้วยรอยยิ้มกรุ่นพร้อมกับรองเท้าคู่สวยที่อยู่ในมือ - -

ฉันจัดแจงโยนรองเท้าผ้าใบคู่เก่าที่ใส่มาแรมปีทิ้งไปอย่างไม่แยแส

วันรุ่งขึ้น ............ ..ฉันออกเดินด้วยรองเท้าคู่ใหม่อย่างเฉิดฉาย

ยิ่งมีใครต่อใครชมว่ามันสวยนักหนาฉันก็ยิ่งปลื้มใจ


ทว่าไม่ทันข้ามวันรองเท้าเจ้ากรรมก็แผลงฤทธิ์จนฉันเดินโขยกเขยก

และเย็นวันนั้นฉันก็ต้องกลับมาบ้านพร้อม กับเท้าที่ระบม

ห า ก ชี วิ ต ค น เ ร า เ ป็ น เ ห มื อ น ก า ร เดิ น ท า ง ไ ก ล

ความรัก _________________ก็คงเป็นเหมือน "รองเท้า"

แ ท้ ที่ จ ริ ง แ ล้ ว น่ ะ น ะ

..............

ฉันว่าคนเราไม่ได้ต้องการ "รองเท้าสวย" มากไปกว่า

-- รองเท้าที่ใส่สบาย --

แต่ก็นั่นแหละ ใคร-ใครก็ย่อมชอบรองเท้าสวย-สวยด้วยกันทั้งนั้น

ถึงไม่น่าแปลกที่หลายคนมักตัดสินใจซื้อรองเท้าเพราะว่า
"มันสวย" มากกว่า "มันพอดีกับเท้า"

และแม้มันจะใส่แล้วคับไปนิด...อึดอัดไปหน่อยก็ยังไม่วางมือ

เหตุเพราะว่า_______________มันสวยถูกใจ

หรือแม้มันจะราคาแพงลิบลิ่วก็ยังอยากเป็นเจ้าของให้ได้

--- หากว่าเราต้องเดินทางอีกไกล ---

แม้จะมีรองเท้าสวยหรู ราคาแพง ยี่ห้อแบรนด์เนมมันก็คงไม่มีประโยชน์

แม้จะสวยแค่ไหนแต่ถ้ามันทำเท้าเราเจ็บ...สุดท้ายก็คงต้องถอดมันออก

เพราะถ้าขืนเราเดินทั้งเท้าเจ็บ-เจ็บเรา คงไปไม่ถึงปลายทาง

ค ว า ม รั ก ก็ เ ช่ น กั น


เราอาจใฝ่ฝันที่จะมีคนรักสวย รวย เก่ง ฉลาด เลิศ หรู

..... แต่ความจริงแล้ว ....

เราเพียงต้องการคน-คนนั้นเพื่อให้ "ตัวเราดูดีขึ้นมา" เท่านั้นเอง

ฉันว่านะ....รองเท้าที่ใส่แล้วสบายไม่จำเป็นต้องสวยเด่นอะไร

เพราะฉะนั้น

คนที่จะมาจับจูงมือเราไปตลอดทางของชีวิตก็ไม่จำเป็น
ต้องเป็นคนที่ดีเลิศที่สุดจนใครนึกอิจฉา
แต่ขอเพียงเป็น...คนที่เค้ารักเรา ดูแลเรา ดีต่อเรา เข้าใจเรา ไม่ทำให้เราเจ็บ
ไม่ทำให้เสียใจ ซะมากกว่า...

บางที...การใส่รองเท้าที่เดินแล้วสบายมันอาจทำให้เรามีความสุขมากกว่า

เพราะฉันเชื่อว่ามันจะพาเราไปจนถึงจุดหมาย

โดยที่เราไม่ต้องเจ็บเท้า และนึกอยากจะโยนมันทิ้งไปเสีย ให้รู้แล้วรู้รอด

ตลอดการเดินทาง.. .....

ที่มาของบทความ  fwm.