Custom Search

23 กันยายน 2552

วิธีสังเกตว่าความรักเป็นรักแท้

วิธีสังเกตว่าความรักเป็นรักแท้



ใครที่กำลังมีความรัก วันนี้มีวิธีสังเกตว่าความรักที่มีอยู่นั้น เป็นรักแท้หรือเปล่ามาให้อ่านกัน...






1. ต้องมีความรู้สึกได้สัมผัส กับความสุขร่วมกับคน ๆ นั้น เมื่ออยู่ด้วยกันก็จะมีความสุขมาก ไม่เคยเบื่อที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ และเมื่อยามที่เขาห่างไกลไม่ได้เห็นหน้า ก็จะรู้สึกเหงา ๆ และคิดถึง ไม่ใช่พอเขาหันหลังให้ ก็กระโดดโลดเต้นดีใจ



2. ต้องให้ความเคารพนับถือคน ๆนั้น ถ้าจะรักใครสักคน แล้วตั้งหน้าดูถูกไม่เคยให้ความเคารพ ในความเป็นเขา แล้วคนอื่น ๆ จะเคารพคน ๆ นั้น ของเราได้อย่างไรและเราจะภูมิใจหรือ กับการที่ได้รักใคร่กับคนที่ใคร ๆ เขาดูถูก

3. ต้องรู้สึกว่าคน ๆ นั้นเป็นที่พึ่งได้ เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในชีวิต ก็มั่นใจว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเพื่อคอยช่วยเหลือ



4. ต้องเชื่อมั่นว่าถ้ามีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน สัมพันธภาพก็ยังคงดำเนินต่อไป เพราะคนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้ารู้จักอภัยกันมันก็อยู่กันทน

5. ต้องเข้าถึงความต้องการอารมณ์ และความรู้สึกของคน ๆ นั้นอย่างถ้ารู้ว่าชอบจะอยู่คนเดียวตามลำพังบ้าง ก็ควรเปิดโอกาสได้อยู่กับตัวเอง ด้วยความเต็มใจ

6. ต้องมีความรู้สึกต้องตาต้องใจในสรีระของคน ๆ นั้น ไม่ว่าจะต้องเสน่ห์ในความเป็นหญิงกำยำ หรือในความล้านจนขึ้นเงาวับบนหัวเขา มันก็มีส่วนในความรักเหมือนกัน

7. ต้องรู้สึกว่าเรา สามารถจะพูดคุยกับคน ๆ นั้นได้ทุกเรื่องอย่างเปิดอก สามารถที่จะขุดความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจ ขึ้นมาพูดได้ ไม่ใช่ต้องปิดบังความรู้สึกส่วนนั้นไว้ เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมาแล้ว เราจะอับอายหรือไม่ก็กลัวว่าเขาได้ยิน แล้วจะเดินหายไปจากชีวิต

8. ต้องรู้สึกว่าคน ๆ นั้นเป็นของมีค่าในมือ ถ้าไม่มีเขาสักคน ชีวิตของเราก็สูญของมีค่าไป



9. ต้องรู้สึกเต็มใจที่มีส่วนร่วมกับคนๆ นั้นในหลาย ๆ ด้าน เป็นต้นว่าความคิดอารมณ์ และเวลาแต่ไม่ใช่ร่วมกับเขาไปหมด จนเขาไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง

10. ต้องรู้สึกอยากมีส่วนร่วมอยากรับฟังทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ดี หรือเป็นสิ่งที่ทุกข์ ที่เรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุข เพราะคนที่ต้องการแต่จะร่วมสุข นั่นหมายถึงว่าคุณไม่ได้มีรักแท้กับคนๆนั้น

ลองนำไปสังเกตความรักของคุณดูได้ ว่าเป็นรักแท้แบบไหน.

18 กันยายน 2552

ประสบการณ์ครั้งแรกของสาวคนหนึ่ง... เรื่อง(แอบ)เล่า

หญิงสาวรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรง และเร็วไม่เป็นส่ำ
เมื่อเธอเดินเข้าไปไกล้จุดที่นัดหมายกันไว้ทุกที เธอยอมรับว่า แม้ตัวเธอเองจะเป็นผู้หญิง
ที่มีความพร้อมไปทุกสิ่งเมื่อพูดกันถึง เรื่องรูปร่างหน้าตา รูปร่างสูงเพรียวได้สัดส่วน
อกเต่งตึงที่ยิ่งเพิ่มความโดดเด่นเมื่อเทียบกับเอวที่คอดกิ่ว ผิวที่ขาวเหมือนหยวกกล้วย
ซึ่งคงเป็นเพราะเธอมีสายเลือดจีนจากพ่อและแม่ แต่ถึงเธอจะเป็นผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตา
เพียบพร้อมไปทุกอย่างแบบนี้ แต่เธอเองก็ไม่เคยแบบว่าเลยสักครั้ง และนี่จะเป็นครั้งแรก
ของสาวบริสุทธิ์อย่างเธอ และ ถ้าไม่เป็นเพราะความจำเป็นที่บังคับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เธอคงไม่ยอมทำอะไรที่น่ากลัว และฝืนใจอย่างนี้แน่ ความคิดของเธอสะดุดลง
เมื่อเธอเดินมาหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่ง รวบรวมความกล้า
และสมาธิอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะยกมือขึ้นเคาะประตู
" ก็อก ๆ ๆ " มีเสียงเดินมาที่ประตูเบา ๆ ก่อนที่ประตูจะเปิดออก ชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดสีขาว
หน้าตาสะอาดสะอ้าน ยืนจ้องมองมาอย่างตะลึงเล็กน้อย สองสายตาประสานกันชั่วครู่หนึ่ง
ก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายหลบตา ด้วยความรู้สึกบางอย่าง " ใช่คนที่นัดไว้หรือเปล่า
ที่ชื่ออะไรนะพิมพลอยใช่ไหม ?" " ใช่คะ " เธอรู้สึกว่าน้ำเสียง ที่ตอบไปมันดูแหบโหย
ไร้ความมั่นใจเอาเสียเลย " เข้ามาก่อนสิ นั่งรอเดี๋ยวนะขอผมทำอะไรบางอย่าง " หญิงสาวค่อย ๆ
ก้าวขาที่สั่น ๆ นั้นเข้ามาใน ห้องอย่างว่าง่าย เสียงเขาเดินไปปิดประตู ก่อนที่จะรูดม่านปิดลง
ทิ้งให้เธออยู่เพียงลำพัง ขณะที่เขาง่วนอยู่กับการหาอะไรบางอย่างข้างนอกคงเป็น !!! เธอค่อย ๆ
ทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ หลับตาลงแล้วครุ่นคิดใบหน้าของชาย คนที่เพิ่งพบหน้าก็ลอยเข้ามาในความคิด
เขาเองจัดได้ว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีคนหนึ่ง ดูหล่อ และแมนดี แต่ถึงยังไงเธอกับเขา
ก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นี่เธอจะต้องทำอะไรกับผู้ชายคนหนึ่ง โดยที่ไม่เคยรู้จัก
หรือมีความรักต่อกันมาก่อนเลยงั้นหรือ เธอรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป และยืดตัวขึ้นตั้งตรง
ลำคอระหงนั้นเชิดรับกับใบหน้า ที่แสร้งทำว่าเป็นไม่กลัวอะไร เมื่อมีเสียงแหวกม่านดังขึ้น เขาคนนั้นก้าว
เข้ามาพร้อมอะไรบางอย่างที่เขานำไปวางไว้ข้าง ๆ เตียง " เป็นอะไรหน้าซีดเชียว กลัวหรือ
ทำเหมือนคนไม่เคยนี่เป็นครั้งแรกใช่ไหม " น้ำเสียงเขาเจือไปด้วยการหยอกล้อระคนขบขัน
เหมือนกับว่าสิ่งที่เขา และเธอจะร่วมกันทำต่อจากนี้ไป มันเป็นเรื่องเล่น ๆ เสียเต็มประดา "
ใช่คะครั้งแรก " เธอแอบกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นก่อนที่จะกลั้นใจตอบไป
" ไม่ต้องกลัวหรอกทำใจดี ๆ ไว้ ใคร ๆ ก็มีครั้งแรกเหมือนกันทั้งนั้นแหละ " "
ใช่สิก็คุณเป็นผู้ชายนี่ " เธอแอบเถียงอยู่ในใจ
" ขึ้นมานอนบนเตียงนี่มา "
เขาออกคำสั่งเหมือนครูกำลังสั่งนักเรียนหญิงสาวค่อยก้าวขึ้นไปยืนข้างเตียง
เตียงหลังนี้ที่ผู้ชายหน้าตาดี ๆ อย่างเขาคงจะเคยทำแบบนี้ กับผู้หญิงคนอื่นมานับไม่ถ้วน
" รีบขึ้นไปนอนบนเตียงสิ จะได้เสร็จเร็ว ๆ " หญิงสาวค่อย ขยับตัวขึ้นไปนอนบนเตียง
อย่างไม่รู้จะขัดขืนอย่างไร เพราะนี่คือการกระทำที่เธอเต็มใจและยินยอม ขึ้นไปนอนหงายบนนั้น
แล้วก็หลับตาแบบปลง ๆ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด " ทำใจดี ๆ ไม่ต้องกลัวนะครับ เจ็บแค่แป๊บเดียวเอง
" เขาเดินมากระซิบที่ข้างเตียง รู้สึกได้ว่าเขาเอื้อมมือมาแล้วค่อย ๆ เลิกผ้าตรงนั้นขึ้นไป
อวดเนื้อสาวเนียนผ่อง
" วางมือมาตรงนี้ " เขาค่อย ๆ ประคองมือเธอให้เหยียดวางลงข้างเตียง
ยัดบางสิ่งที่เป็นลำหยุ่นมือลงไป จนทำให้เธอสะดุ้งต้องแอบเผยอเปลือกตาและชำเลืองไปมอง
หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบจะหยุดเต้น เมื่อเห็นเขาล้วงสิ่งนั้นออกมาจากกางเกง มันช่างใหญ่เหลือเกิน
จนเธอต้องแอบหลับตาปี๋ด้วยความเสียวมันใหญ่เสียจนเธอรู้สึกกลัวจับใจถึงเธอจะเคยเห็นเจ้าสิ่งนั้นมาบ้าง
จากในหนังที่แอบดูกับเพื่อน ๆ แต่มันก็มีเพียงขนาดเล็ก ๆ ไม่ใหญ่ยาวน่ากลัวอะไรอย่างนี้
" ผมจะเริ่มละนะ " เขาเอ่ยประโยคที่เธอแทบจะกลั้นใจตายเมื่อได้ยิน นี่จะทำกันดื้อ ๆ
แบบนี้เลยหรือไม่มีการปลอบประโลมก่อนหรือไร
" อาจจะเจ็บหน่อยนะ ถ้ากลัวก็ไม่ต้องมอง " ถึงแม้จะกลัวขนาดไหนในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกของเธอ
เธอก็ยังอยากจะมองเพื่อจดจำภาพเหล่านั้นไว้ เธอเพ่งสายตามองด้วยใจที่เต้นระทึกแทบหลุดออกมาจากเบ้า
เมื่อเขาจ่อแท่งใหญ่ยาวนั้นมาเข้ามาใกล้ เมื่อเขาแทรกสิ่งนั้นเข้าไปในเนื้อขาว ๆ
เธอก็รู้สึกเจ็บจิ๊ดจนถึงกับเผลอร้องออกมาเบา ๆ อย่างลืมตัว " อุ๊ย ! เจ็บบบ "
เขาชะงักรีบเอ่ยปากอย่างละล่ำละลัก
" คุณเจ็บหรือ ผมขอโทษผมจะค่อย ๆ ทำเบา ๆ ก็แล้วกันนะ ทนเอานิดเดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว "
คำว่าเดี๋ยวจากปากเขา แต่มันทำไมเนิ่นนานนักในความรู้สึกของเธอ อาการเสียวอาการเจ็บแปลก ๆ นั้น
เป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยมาก่อนจริง ๆ เธอหลับตากัดฟันกลั้นความเจ็บปวด
ที่เจ็บจนต้องเผลอบีบมือเป็นระยะ ๆ เนิ่นนานนับสิบนาทีที่เขาทำกับหล่อน
จนหล่อนรู้สึกว่าเขาได้สูบเอาบางสิ่งบางอย่างไปแทบหมดตัว จนเมื่อเขาบรรลุจุดประสงค์แล้ว
เขาก็หยุดเคลื่อนไหว หายใจยาวนิ่งอยู่อย่างนั้นชั่วครู่
" ผมจะเอาออกแล้วนะ ทนเจ็บอีกครั้งนะ " เธอรู้สึกเสียวแปล๊บเมื่อเขาค่อย ๆ ถอน
เจ้าสิ่งนั้นออกไปจากเนื้อขาว ๆ ของเธอ โลหิตสีแดงแห่งสาวพรหมจารีไหลกระฉูดตามออกมาจนเปรอะ
เขารีบคว้าพลาสเตอร์มาปิดห้ามเลือดไว้ทันที ?
" เรียบร้อยแล้วครับ แหมท่าทางคุณแย่ไปเลยคงจะเจ็บมาก บริจาคเลือดครั้งแรก
ก็เป็นอย่างนี้ทุกคนแหละครับ อาจจะดูน่ากลัวหน่อยเพราะเข็มมันใหญ่ ใหญ่กว่าเข็มฉีดยามาก
อ้อ ! แขนเสื้อคุณที่ผมถลกขึ้นไปอย่าเพิ่งเอาลงนะครับ เดี๋ยวจะเลอะเลือด
หลังจากนี้คุณก็กลับไปนอนพักผ่อนที่บ้าน ทานนมเยอะ ๆแล้วอย่างเพิ่งทำอะไรที่เป็นการออกแรงหนัก ๆ
ภายในระยะเจ็ดวันนี้
ส่วนเลือดของคุณนี่หลังจากตรวจเช็คแล้วหมอจะรีบเอาไปเติมให้เพื่อนคุณที่ตึกโน้นเลยนะครับ
เธอโชคดีมากที่เผอิญ มีเลือดกรุ๊ปเดียวกับคุณ ไอ้เลือดกรุ๊ปเอบีเนี่ยเป็นกรุ๊ปที่หายากมาก ๆ เลยนะครับ
ถ้าคุณไม่รังเกียจคราวหน้า อยากขอให้คุณมาบริจาคเลือดให้เราอีกนะครับ หมอจะยินดีมาก ๆ "
เธอเดินจากมาจากโรงพยาบาลแห่งนั้น พร้อมกับเสียงพูดนุ่มหูของหมอหนุ่มที่ยังติดหู
ครั้งแรก ! กับการบริจาคเลือดฟังดูน่ากลัวสำหรับคนกลัวเข็มฉีดยาอย่างเธอมาก
แต่เพราะเกี่ยวกับความเป็นความตายของยายก้อยเพื่อนรัก จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อทำไปแล้วก็รู้สึกสบายใจ อาจจะเจ็บนิดหน่อย แต่ก็ได้กุศลแรงไว้คราวหน้ารวบรวมความกล้าได้เมื่อไหร่
จะกลับไปให้คุณเอาเข็มแทงเนื้อสาวอีกครั้งนะเจ้าคะ พ่อหมอหนุ่มรูปหล่อ



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ป.ล.การบริจาคเลือเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ปลอดภัยได้กุศลแรง แถมร่างกาย

ยังได้ขับถ่ายหมุนเวียนเลือดอีกด้วย แล้วเลือดที่เสียไปร่างกาย

ก็จะสามารถสร้างใหม่ได้ภายในเจ็ดวันเท่านั้น อย่าลืมไปบริจาคเลือดกันเยอะ ๆ นะ

14 กันยายน 2552

"เป็นห่วง"

เวลาที่เราได้รับรู้มาว่า…ใครคนนึงไม่สบายใจ




ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นมามีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น



“เป็นห่วง” ซึ่งมันจะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย



อยู่ๆมันก็วิ่งขึ้นมา ณ วินาทีที่เราได้รู้ว่า จิตใจเค้าได้รับการกระทบกระเทือน



อยากทำอะไรก็ได้ แค่ให้เค้ารู้สึกดี



อยากทำอะไรก็ได้ แค่ให้รู้ว่าเค้ายิ้มแล้ว



อยากทำอะไรก็ได้ ที่จะสามารถแบ่งเบาส่วนนั้นออกมาได้บ้าง



อะไรก็ตามที่เพื่อนคนนี้ จะสามารถทำเพื่อเธอได้



รับรองเลยว่าจะไม่ลังเลที่จะทำ จะปฏิบัติ



- - -



ฉันยินดีจะรับฟัง เพราะอย่างน้อยการที่เธอได้ระบายให้ฉันฟัง



ฉันก็ภูมิใจที่ได้เป็นผู้รับรู้ปัญหา แต่ไม่รู้หรอกว่าจะช่วยอะไรได้มั้ย



อาจไม่มีคำปรึกษา อาจไม่มีความช่วยเหลือ



แต่สิ่งที่มีให้คือกำลังใจ และรอยยิ้ม



เพราะฉันจะเป็นที่ว่างให้เธอได้นั่งลงพักผ่อน



ก่อนที่เธอจะไปสู้กับปัญหานั้นอีกครั้ง ด้วยกำลังใจที่เข้มแข็ง



จะกุมมือเธอไว้เสมอ



...คุณเคยรู้สึกอย่างนี้ กับใครบ้างไหม ??

กำลังใจให้คนที่คิดว่า"ไม่มีหวัง

" เพื่อนหลายคนชอบถามผมว่า ผมชนะใจเธอได้ยังไง


"เธอ"หมายถึงภรรยาของผม

ผมเรียนหนังสือห้องเดียวกับเธอตอนชั้นมัธยม

เราต่างกันราวฟ้ากับดิน

ผมไม่หล่อ เรียนหนังสือไม่เอาไหน เป็นนักฟุตบอลโรงเรียนที่ไม่มีอะไรเด่น

เธอเป็นนักเรียนเรียนดี เรียบร้อย หน้าตาดูดี

ผมนั่งดูเธอรับรางวัลเรียนดีปีแล้วปีเล่า

ในขณะที่ผมต้องลุ้นทุกปีว่าผมจะสอบผ่านหมดไหม

ผมรู้ว่าผมไม่เคยอยู่ในสายตาเธอเลย

แต่เธอไม่เคยรังเกียจหรือดูหมิ่นผม

ผมคุยด้วย เธอก็คุย

ถามคำ เธอตอบคำ

ผมเฝ้ามองเธออยู่เป็นปีปี จนบอกกับตัวเองและเพื่อนทีมฟุตบอลว่า ผมแน่ใจว่าชอบเธอ

เพื่อนๆบอกว่า หมามองจรวด

ผมไม่สนใจ วาเลนไทน์ปีนั้น

ผมให้กุหลาบและเขียนการ์ดสั้นๆว่า

"ผมชอบคุณ"

หลังวาเลนไทน์คราวนั้น เธอยังทำตัวปรกติ

ไม่ได้แสดงอารมณ์พิเศษกับผม

ผมคุยด้วย เธอก็คุย เรียบๆเหมือนเคย

ผมไม่ท้อถอย ตอนเช้าไปรับเธอหน้าประตูโรงเรียน

ตอนเย็นไปส่งเธอขึ้นรถกลับบ้านทุกวัน

โทรศัพท์ถึงเธอตรงเวลาทุกคืน

ไม่ได้คุยอะไรมากมาย เพียงจะบอกราตรีสวัสดิ์

จบมัธยม เราแยกย้ายกันไปเรียนมหาลัย

ผมยังติดต่อเธอสม่ำเสมอ

เมื่อคิดถึง ผมไปหาเธอที่บ้าน ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนด้วยกัน

เธอบอกว่าไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วง

ผมไม่เคยโต้แย้ง

ตลอดเวลาร่วม10ปี ความสัมพันธ์ของเราไม่ได้บ่งบอกว่าเราเป็นแฟนกัน เราคุยกัน ถามทุกข์สุขกัน รู้ความเป็นไปของกันและกัน

ผมบอกจริงๆว่า ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าจะชนะใจเธอไหม

ทุกอย่างที่ผมทำให้เธอ เพราะใจผมอยากทำ

เธอเองไม่ได้แสดงอาการมีใจให้ผมเห็น

แต่ก็ไม่เคยรังเกียจ คุยกับผมตลอด

ผมรู้ว่า จะถอย ต่อเมื่อเธอตัดสินใจกับใครไปแล้วเท่านั้น

จนเมื่อจบมหาลัย ทำงานแล้ว

ผมจึงมีโอกาสชวนเธอไปกินข้าว คุยกันบ้าง

ผมถามเธอว่า ความสัมพันธ์ของเรา จะมีโอกาสเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นแฟนไหม

เธอตอบผมว่า เธอคุยกับผมมา10ปี ไม่ใช่เธอให้โอกาสผมมาตลอดหรือ

นับแต่วันนั้น เธอยังคงนิ่งๆ แต่ผมรู้ว่าผมมีโอกาส

อีก3ปีต่อมา เราก็แต่งงานกัน

ผมถามเธอว่า ทำไมถึงเลือกผม เธอมีคนให้เลือกอีกหลายคน

เราต่างกันหลายอย่าง

ผมหลงใหลกีฬา เธอไม่สนใจเลย

ผมไม่อ่านหนังสือ เธออ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า

ผมเฮฮากับคนหมู่มากได้ดี เธอสนุกตามมารยาท

เธอตอบผมว่า นิสัยที่ต่างกัน มันปรับเข้าหากันได้

แต่ผมเป็นคนที่รักเธออย่างที่เธอเป็น จริงใจกับเธอเสมอมา ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเธอ ทำสิ่งดีดีให้เธอมาตลอด

ทุกวันนี้ ผมมีความสุขอยู่กับเธอ

ผมเล่าเรื่องนี้ เพื่อให้กำลังใจ ทุกคนที่คิดว่า "ไม่มีหวัง"

จงจริงใจกับคนรักของคุณเถอะ

ผมเชื่อว่า สิ่งดีดีจะเกิดกับคุณ
ที่มา : ไท

คุณเคยแพ้มั้ย?

ความพ่ายแพ้... ดูแล้วไม่เป็นเรื่องที่พึงปรารถนา


แต่คุณรู้ไหมว่า

ความพ่ายแพ้ทำให้คุณเป็นคนที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น



สังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันแก่งแย่ง

ตั่งแต่อนุบาลเลยทีเดียว

พวกเราถูกปลุกฝังให้ตั้งเป้าหมายที่ต้องอาศัยการชนะคนอื่นๆเพื่อให้เข้า

สู่เป้าหมาย



เราลองมองดูเพื่อนๆของเรา

จะเห็นว่าหลายๆคนเป็นคนที่แพ้ไม่ได้ ไม่ผิด พวกเขาไม่ผิด

ยิ่งถ้าเป็นคนที่มีการศึกษาสูง ย่อมทะเยอทะยาน มาก

พวกเขามุ่งที่จะชนะ ชนะ และชนะ แต่ถ้าเขาเกิดแพ้ขึ้นมาละ

เขาจะทนไม่ได้ และพยายามหาทางออกที่รุนแรง พวกเขาเป็นโรค

แพ้ไม่เป็น



โรคแพ้ไม่เป็นนี้รุนแรงมากครับ ยกตัวอย่างเช่น

ในเรื่องความรัก ลองถ้าคนแพ้ไม่เป็นอกหักขึ้นมา

พวกนี้จะมีปฎิกิริยาโต้ตอบที่รุนแรงมาก

ทางออกของคนเหล่านี้

อาจรุนแรงถึงขั้นฆ่ากันตายอย่างที่หนังสือพิมพ์ลง

ข่าวอยู่ทุกวัน



ทำไมหรือ...ก็เพราะว่า

เขาไม่รู้จักการที่จะมองเหรียญสองด้าน ว่า บางครั้ง

ในเกมชีวิต เราจะชนะเรื่อยไปนั้นคงไม่ได้

จะต้องมีบางเกมที่เรา ต้องรู้จักแพ้

เปล่า...ไม่ใช่ไม่สู้

แต่เมื่อถึงจุดที่เราเห็นว่าเราแพ้แล้ว

เราก็ต้องรู้จักที่จะยอมรับมัน

ไม่ใช่ดันทุรังที่จะเอาชนะให้ได้แต่ฝ่ายเดียว



เกมชีวิต...ถือเป็นเกมที่แตกต่างจากเกมอื่นๆ

รวมถึงเกมธุรกิจต่างๆ

ที่ผู้เล่นมุ่งหมายจะเอาชนะอย่างเดียว แต่เกมชีวิต

การพ่ายแพ้บางครั้ง กลับเป็นเรื่องที่มีค่ามากกว่าการชนะ





เราเคยลองถามตัวเองบางไหมว่า หากเราชนะ ชนะ และ ชนะ

โดยไม่รู้จักแพ้บางเลยนั้น

สร้างความสูญเสียมิตรแท้ไปแล้วเท่าไร

หรือทำให้เกิดศัตรูเพิ่มขึ้นมาหรือไม่

แต่ถ้าเรายอมที่จะแพ้บาง เพื่อรักษา มิตรภาพอันดี

ผมถือว่าก็สมควรที่ยอมรับการพ่ายแพ้



หลายคนคงเคยอ่านหนังสือประเภท How to

ที่เน้นให้มนุษย์เกิดความ ทะเยอทะยาน

และมีกลยุทธ์ต่างๆเพื่อเอาชนะคนอื่น

แต่ผมว่าหนังสือประเภท How to ควรจะมีเรื่องของ

กลยุทธ์ต่างๆ ที่จะแพ้บ้าง



หากทุกคนในโลกนี้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นที่หนึ่งกันหมด Ok

มันคือความทะเยอทะยาน แต่คุณว่าสังคมมันจะน่าอยู่ไหม

หากเราย่อมเป็นที่สอง หรือที่สาม

แต่เราสามารถที่จะสรรสร้าง ชีวิตให้มีความสุขได้

สิ่งเหล่านี้มันมีคุณค่ามากกว่าหรือไม่



ผมเห็นอ่านเรื่องราวนักธุรกิจหรือนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่

แม้ว่าในหน้าที่ การงานของพวกเขาจะทำงานได้อย่างไร้ที่ติ

เขาชนะมาตลอด แต่ในเกมชีวิตพวกเขากลับสอบตก

เพราะเขาเอานิสัยในการเอาชนะ กลับไปใช้ในครอบครัว



เห็นบางคนเลี้ยงลูก ให้ลูกๆแข่งขันกัน

ครับถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เราคงต้อง คอยบอกด้วยว่า

เรามีสิทธิที่จะชนะและพ่ายแพ้เท่าๆกัน

บางคนสงสัยว่าหากเรายอมรับที่จะพ่ายแพ้

นั้นเป็นการแสดงถึงความ อ่อนแอด้วยหรือไม่ ผมกลับมองว่า

ความพ่ายแพ้นี้เอง ที่จะเติมเต็ม

ความเป็นมนุษย์ของเขาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เขาจะรู้จักดำรงชีวิตอย่าง

กล้าหาญที่จะเข้มแข็งต่อไปในอนาคต



การที่คนหนึ่งจะย่อมรับถึงความพ่ายแพ้

ผมว่าจะต้องใช้ความกล้าหาญ อยู่ไม่น้อย



คนที่แพ้ไม่เป็นต่างหากละที่เป็นคนอ่อนแอ





ที่มา : เจ้วรรณ

ยึดติด โดย พระไพศาล วิสาโล

สุด..ได้เลขท้าย ๓ ตัวมาจากหลวงพ่อ เลยแทงไป ๑๕ บาท ปรากฏว่าถูกเผง ได้มา ๖๐๐ บาท เขา ดี ใจมาก เที่ยวอวดใครต่อใครในหมู่บ้านว่าถูกหวย แต่พอรู้ว่า คอนซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ก็แทงหวย ๓ ตัวถูกเหมือนกัน แต่ได้เงินมากกว่าคือ ๒,๐๐๐ บาท เพราะแทงมากกว่า สุดเลยยิ้มไม่ออก หงอยไปทั้งวัน แถมยังโมโหตัวเองที่แทงน้อยไป




ใจ..ไปเที่ยวไนท์บาซ่า เห็นผ้าพื้นเมืองลายงาม ราคา ๕๐๐ บาท แต่เธอต่อได้ ๓๕๐ บาทจึงคว้าผ้าผืนนั้นกลับโรงแรมด้วยความดีใจ แต่พอรู้ว่าไก่เพื่อนร่วมห้องก็ซื้อผ้าแบบเดียวกันมา แต่ได้ราคาถูกกว่า คือ ๓๐๐ บาท ใจก็หุบยิ้มทันที ไม่รู้สึกโปรดปรานผ้าของตนอีกต่อไป

แม้เราจะมี “โชค” หรือได้ของดีที่ถูกใจ

แต่หากไปเปรียบเทียบกับของคนอื่นเมื่อใด

สุขก็อาจกลายเป็นทุกข์ทันที หากรู้ว่าคนอื่นได้มากกว่า ได้ของดีกว่า

หรือได้ของที่ถูกกว่า ส่วนของดีที่เราได้มากลับด้อยคุณค่าไปถนัดใจ



บางครั้งอาจทำให้เราทุกข์กว่าตอนที่ยังไม่ได้ของนั้นมาด้วยซ้ำ

ที่จริงไม่ต้องไปเทียบกับของคนอื่นก็ได้

เพียงแค่เห็นของรุ่นใหม่วางขายหรือโฆษณาตามสื่อต่างๆ

ก็เกิดความไม่พอใจในของเดิมที่มีอยู่ทันที

ทั้งๆ ที่มันก็ยังใช้ได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรรบกวนใจ

ยกเว้นข้อเดียวคือ มันสู้ของใหม่ที่วางขายไม่ได้

ทั้งๆ ที่มีของดีอยู่กับตัว แต่คนเราแทนที่จะพอใจกลับรู้สึกเป็นทุกข์

เพียงเพราะใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งดีกว่า (หรือมากกว่า) ที่ตัวเองยังไม่มี



แต่เมื่อใดก็ตามที่ของชิ้นนั้นเกิดมีอันเป็นไป

เช่นทำตกหล่นหรือถูกขโมยไป เราก็จะกลับมาเห็นคุณค่าของมัน

และนึกเสียใจที่เสียมันไป จะกินจะนอนก็ยังนึกถึงมันด้วยความเสียดาย

ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นใน กรณีที่เป็นสิ่งของเท่านั้น

แต่ยังเกิดกับกรณีที่เป็นคนด้วย เช่น คนรัก หรือแม้แต่พ่อแม่และลูก



ผู้คนจำนวนมากไม่เห็นคุณค่าหรือมีความสุขกับคนใกล้ชิด

เพราะไปนึกเปรียบเทียบคนอื่นว่าเขามีพ่อแม่ คนรัก หรือลูกที่ดีกว่าเรา

แต่วันใดที่เราเสียเขาไป เราถึงจะกลับมาเห็นคุณค่าของเขา

และเศร้าโศกเสียใจจนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว

เฝ้าหวนคำนึงถึงวันคืนเก่าๆ ที่เขาเคยอยู่กับเรา



คนเรามักทุกข์เพราะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ยังไม่มี หรืออาลัยในสิ่งที่สูญเสียไป

พูดให้ครอบคลุมกว่านั้นก็คือ

ทุกข์เพราะใจยังติดยึดอยู่กับอนาคตและอดีต

อนาคตและอดีตที่ว่ามิได้หมายถึง

สิ่งดีๆ ที่ยังไม่มีหรือที่เสียไปเท่านั้น

แต่ยังรวมถึงสิ่งไม่พึงปรารถนาที่ (คาดว่า) รออยู่ข้างหน้า

เช่นอุปสรรค และสิ่งไม่พึงปรารถนาที่พานพบ คำต่อว่า หรือการกระทำที่น่ารังเกียจ



คำตำหนิติเตียนไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้

หากเราไม่เก็บเอาคิดซ้ำคิดซาก คำพูดเหล่านั้นผ่านพ้นไปนานแล้ว

แต่ที่ยังบาดใจเราอยู่ก็เพราะเราไม่ยอมปล่อยวางมันต่างหาก

ยิ่งคิดคำนึงถึงมันมากเท่าไรก็ยิ่งซ้ำเติมตัวเองมากเท่านั้น



การเอาเปรียบ กลั่นแกล้ง ทรยศ หักหลัง ก็เช่นกัน

แม้เป็นอดีตไปนานแล้ว แต่เราก็ยังทุกข์อยู่กับเหตุการณ์ดังกล่าว

ไม่ใช่เพราะเขายังทำเช่นนั้นกับเราอยู่

แต่เป็นเพราะเราชอบย้อนภาพอดีต

กลับมาฉายซ้ำในใจอย่างไม่ยอมเลิกรา

ย้อนแต่ละทีก็เหมือนกับกรีดแผลลงไปที่ใจ

หยุดย้อนอดีตเมื่อใดใจก็หายเจ็บเมื่อนั้น



อดีตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนอนาคตยังมาไม่ถึง

แต่จะมาถึงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้

แต่บ่อยครั้งเรากลับยึดมั่นสำคัญหมายอย่างเป็นจริงเป็นจัง

ว่ามันจะต้องเกิด ขึ้นแน่ เท่านั้นยังไม่พอถ้าเป็นเรื่องแง่ลบด้วยแล้ว

เรามักจะวาดภาพไปในทางเลวร้าย

แล้วก็ยึดมันเอาไว้ไม่ให้คลาดไปจากใจ ทั้งๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์



ชายผู้หนึ่งเดินขึ้นตึกไปหาหมอ เพื่อฟังผลตรวจโรค

พอหมอบอกว่า พบก้อนมะเร็งระยะที่สองในปอดของเขา

เขาก็ถึงกับทรุด เข่าอ่อนเดินไม่ได้ กลับถึงบ้านก็กินไม่ได้

นอนไม่หลับ ซึมไปเป็นเดือน



ส่วนหญิงผู้หนึ่ง ป่วยกระเสาะกระแสอยู่นานหลายสัปดาห์

แล้ววันหนึ่งหมอก็บอกว่า เธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ตับ

จะอยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือน ปรากฏว่าผ่านไปแค่ ๑๒ วัน เธอก็สิ้นใจ

ทั้งสองกรณีไม่ได้ทรุดฮวบเพราะโรคมะเร็งเล่นงาน

แต่เป็นเพราะใจเสีย ทันทีที่ได้ยินข่าวร้าย

ใจก็นึกภาพอนาคตของตัวเองไปในทางเลวร้าย

ยิ่งผู้ป่วยรายที่สองด้วยแล้ว

เธอนึกไปถึงวันตายของตัวเองเลยทีเดียว

แถมยังปรุงแต่งไปในทางที่มืดมน

เท่านั้นไม่พอเธอยังหมกมุ่นกับภาพดังกล่าวไม่หยุดหย่อน

ทั้งๆ ที่มันยังไม่เกิดขึ้น ผลก็คือถูกความทุกข์ท่วมทับจนมิอาจทานทนต่อไปได้



บ่อยครั้งเราเป็นทุกข์เพราะเรื่องที่ยังมาไม่ถึง

เช่น การสอบไม่ติดหรือตกงาน

โดยตัวมันเองไม่ก่อปัญหาแก่เรา มากเท่ากับใจที่ปรุงแต่งไปล่วงหน้า

ว่านับแต่นี้ไปชีวิตจะลำบากยากแค้นเพียงใด แล้วจะอยู่ดูโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร

แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจพบว่าที่แท้เราตีตนก่อนไข้ไปเอง

เพราะปัญหาต่างๆ ที่ตามมาไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างที่คิด

สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ในที่สุด



อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ปรุงแต่งเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้น

กับสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า บางครั้งเราก็ปรุงแต่งให้เลวร้ายเกินจริง

เช่น อยู่รีสอร์ตคนเดียวกลางดึก ได้ยินเสียงผิดปกติ

ก็ปรุงแต่งไปทันทีว่าถูกผีหลอก หรือไม่ก็มีคนจะมาทำร้าย

เห็นคู่รักกำลังคุยอย่างสนิทสนมกับชายหนุ่มในร้านอาหาร

ก็คิดไปทันทีว่า เธอกำลังนอกใจ



การคิดปรุงแต่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงนั้น

เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อใดที่เราหลงยึดว่ามันเป็นเรื่องจริง

เราก็กำลังก่อทุกข์ให้กับตัวเอง

แถมยังสามารถสร้างปัญหาให้แก่คนอื่นได้ด้วย



วัยรุ่นนั่งกินอาหารอยู่หน้าร้าน เผอิญขี้นกหล่นใส่หัว

แต่เขากลับคิดว่าเจ้าของร้านถ่มน้ำลายใส่หัว

จึงทะเลาะกับเจ้าของร้านอย่างรุนแรง

สักพักก็ออกจากร้านแล้วกลับมาพร้อมกับพวกอีกหลายคน

ควักปืนออกมายิงกราด

ถูกภรรยาเจ้าของร้านซึ่งกำลังท้อง ๕ เดือนตายคาที่

กลายเป็นฆาตกรที่ถูกตำรวจหมายหัวทันที



การยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง

เป็นที่มาอีกประการหนึ่งของความทุกข์

ทีแรกเราเป็นฝ่ายปรุงแต่งมันขึ้นมา

แต่เผลอเมื่อใดมันก็กลับมาเป็นนายเรา

สามารถผลักใจของเราไปสู่ความทุกข์

และชักนำชีวิตของเราไปในทางเสื่อมได้ง่ายๆ



กี่ครั้งกี่หนที่เราทำร้ายตัวเองและทำร้ายซึ่งกันและกัน

เพียงเพราะหลงเชื่อ ความคิดที่เราปรุงแต่งขึ้นมา

พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ไม่ได้ปรุงแต่งขึ้นมาเอง

แต่เป็นความจริงแท้ๆ จะไม่ก่อปัญหา



ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่สร้างความทุกข์แก่เรา

เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ อยู่ในขณะนี้

เช่น รถเสีย เงินไม่พอใช้ ทะเลาะกับคนรัก ลูกคบเพื่อนไม่ดี งานไม่ก้าวหน้า

แต่ถ้าเรามัวแต่นึกถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าจะทำอะไร ก็กวาดเอาปัญหาต่างๆ มาครุ่นคิดด้วย

ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกันเลย เช่น กำลังทำงานอยู่

ก็ไปกังวลถึงรถ ถึงลูก ถึงพ่อแม่ แล้วยังห่วงคู่รักอีก

อย่างนี้แล้วจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร



ปัญหาเป็นเรื่องที่ต้องแก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม

แต่เมื่อใดที่เรากวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมจิตใจ

ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้ไข

ก็เตรียมตัวกลุ้มได้เลย นี้เป็นการยึดติดอีกแบบหนึ่ง



อันที่จริงแม้มีปัญหาแค่เรื่องเดียว

แต่ถ้าหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา ก็ทำให้คลั่งได้

ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเล็กแต่ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายๆ

เช่น หมกมุ่นกับสิวไม่กี่เม็ดบนใบหน้าวันแล้ววันเล่า

ก็อาจทำให้เจ็บป่วยหรือถึงกับทำร้ายตัวเองได้



การยึดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจ

บางครั้งก็ไปไกลถึงขนาดไปกวาดเอาปัญหาของคนอื่น

มาเป็นของเราเสียเอง เช่น เพื่อนมาปรึกษาปัญหาชีวิต

ก็เลยเอาปัญหาของเขามาเป็นของตนด้วย

จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ



เท่านั้นยังไม่พอบางคนถึงกับแบกปัญหาของประเทศมาไว้กับตัว

เลยเป็นเดือนเป็นแค้นกับสถานการณ์บ้านเมือง

ทะเลาะกับใครไปทั่วที่คิดต่างจากตน

สุดท้ายก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาบ้านเมืองไป



การยึดติดที่ลึกไป กว่านั้นคือ การยึดติดในตัวตน

สาเหตุที่เราทะเลาะกับคนที่คิดไม่เหมือนเรา

ก็เพราะเรายึดติดในความคิดของเรา



ความสำคัญมั่นหมายว่านี้เป็น “ความคิดของฉัน”

สะท้อนถึงความยึดติดในตัวตน

หรือที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า ยึดติดใน “ตัวกู ของกู”



นอกจากความคิดแล้ว เรายังยึดติดสิ่งต่างๆ อีกมากมายว่า

เป็นตัวฉันของฉัน อาทิ สิ่งของ บุคคล ชุมชน ประเทศ ศาสนา

มีอะไรมากระทบกับสิ่งนั้น ก็เท่ากับว่ากระทบ “ตัวฉัน”

ด่าว่ารถของฉัน ก็เท่ากับด่าฉันด้วย

วิจารณ์ศาสนาของฉันก็เท่ากับวิจารณ์ฉันด้วย



เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อสิ่งของสูญหาย คนรักจากไป

เราจึงอดหวนนึกถึงไม่ได้ เพราะใจยังยึดว่าเป็นของฉันอยู่

จึงยังมีเยื่อใยที่ดึงให้ใจย้อนระลึกถึงอยู่เสมอ

เวลาให้ของแก่ใครไป ความยึดติดในของชิ้นนั้นก็ยังมีอยู่

จึงเฝ้าดูว่าเขาจะใช้ของชิ้นนั้นหรือไม่

ถ้าไม่ใช้ก็รู้สึกเป็นทุกข์ที่เขาไม่ได้ใช้ของ “ของฉัน”

ญาติโยมหลายคนจึงไม่สบายใจที่พระไม่ได้ฉันอาหารที่ตนถวาย



ยึดติดในตัว ตนอีกอย่างคือการยึดมั่นสำคัญหมายว่า

ฉันเก่ง ฉันหล่อ ฉันเป็นส.ส. ฯลฯ ไปไหนก็อดตัวพองไม่ได้

อยากแสดงบารมีให้ใครรู้ว่า “นี่กูนะ”

อยู่ที่ใดก็ต้องการให้คนชื่นชม สรรเสริญ เคารพ นบไหว้

แต่ถ้าไม่ได้รับการปฏิบัติดังกล่าว ก็จะโมโหขุ่นเคือง

จนอาจคำรามว่า “รู้ไหมว่ากูเป็นใคร ?”

ยิ่งเจอคำวิจารณ์ด้วยแล้ว ยิ่งทนไม่ได้เข้าไปใหญ่



การ ยึดติดใน “ตัวกู ของกู หรือนี่กูนะ” เป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ นานัปการ

นำไปสู่การกระทบกระทั่งขัดแย้งและทำร้ายกัน

ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเครียดบีบคั้นภายใน

เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา

ใช่แต่เท่านั้น แม้ได้สิ่งที่พึงปรารถนา

ก็ยังทุกข์เพราะได้ไม่สมใจ หรือทุกข์ที่คนอื่นได้มากกว่า



ที่น่าแปลกก็คือเราไม่ได้ยึดเอาแค่สิ่งดีๆ ที่ถูกใจ

ว่าเป็นตัวกูของกูเท่านั้น สิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกใจ

เราก็ยังยึดเป็นตัวกูของกูอีกเช่นกัน

เช่น ความเจ็บปวด เมื่อเกิดกับกาย

แทนที่จะเห็นว่า กายปวดเท่านั้น กลับไปยึดเอาว่า “ฉันปวด”

ความปวดเป็นของฉัน



เมื่อความโกรธเกิดขึ้นกับใจ

ก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่า “ฉันโกรธ” ความโกรธเป็นของฉัน

ความยึดมั่นดังกล่าวรุนแรงชนิดที่ใจไม่ยอมไปไหน

มัวจดจ่อวนเวียนอยู่กับความปวดหรือความโกรธนั้นๆ อย่างเดียว

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเผลอของใจ

รู้ทั้งรู้ว่ายึดแล้วทุกข์แต่ก็ยังยึดเพราะขาดสติ

ถ้าใจมีสติ ก็จะไม่เผลอยึดต่อไป



ความปวดความโกรธยังมีอยู่ก็จริง แต่คราวนี้มันทำอะไรจิตใจไม่ได้

เพราะใจไม่โดดเข้าไปให้ความปวดความโกรธเผาลน

เหมือนกองไฟที่ยังลุกไหม้อยู่

แต่ตราบใดที่เราไม่โดดเข้าไปในกองไฟ

หากถอยออกมาห่างๆ เป็นแค่ผู้สังเกตเฉยๆ ไฟก็ทำอะไรเราไม่ได้



สติช่วยให้ใจแยกออกมาอยู่ห่างๆ

จากความเจ็บปวดและอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น

กลายเป็น “ผู้ดู” มิใช่ “ผู้ปวด” หรือ “ผู้โกรธ”

จากความยึดติดกลายเป็นการปล่อยวาง



การปล่อยวางดังกล่าว

คือ หัวใจของการเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งหลาย

เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว

ความทุกข์ทั้งมวลเกิดจากความยึดติด

ยึดติดอดีตกับอนาคต ยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง

ยึดติดปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

รวมทั้งยึดเอาปัญหาต่างๆ มาเป็นของตน

ที่สำคัญคือ การยึดติดในตัวตน

เมื่อใดที่ปล่อยวางจากความยึดติดดังกล่าวได้

ความทุกข์ก็ไม่อาจทำอะไรเราได้อีกต่อไป



สติช่วยให้เรารู้ตัวเมื่อเผลอไปอาลัยอาวรณ์ในอดีต หรือวิตกกังวลกับอนาคต

พาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบันเมื่อรู้ตัวว่า

เผลอไปจมอยู่กับเหตุร้ายที่ผ่านไปแล้ว

คอยทักท้วงใจไม่ให้หลงเชื่อความคิดปรุงแต่ง

เพราะตระหนักว่า ความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่คิด

ในยามที่เผลอกวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจจนหนักอึ้ง



สติช่วยให้เราแก้ปัญหาเป็นเปลาะๆ เป็นเรื่องๆ

ไม่เอาปัญหาใดมาครุ่นคิดหากยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้

เวลาพักผ่อน ก็พักผ่อนเต็มที่

เมื่อถึงเวลาแก้ปัญหา ก็ใช้ปัญญาอย่างเต็มที่

ไม่มามัวตีโพยตีพาย หรือน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ทำไมถึงต้องเป็นฉัน?”



ความทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา

แต่อยู่ที่ว่าเรามีท่าทีหรือรู้สึกอย่างไรกับมันต่างหาก



แม้ปัญหาจะหนัก แต่ถ้าเริ่มต้นจากการยอมรับมันว่า

เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว

ไม่ปฏิเสธผลักไสมันหรือก่นด่าชะตากรรม

ตั้งสติให้ได้แล้วหาทางแก้ไขมัน

แต่ขณะที่มันยังไม่หายไปไหน ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน



ไม่หวนนึกถึงอดีตอันผาสุก หรือปรุงแต่งอนาคตไปในทางเลวร้าย

ขณะเดียวกันก็ไม่หมกมุ่นอยู่กับปัญหา

หากปล่อยวางมันบ้าง ความสุขก็หาได้ไม่ยาก



นายทหารผู้หนึ่งไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า

กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานที่ทรงเคยเป็นอุปัชฌาย์ของตนมาก่อน

พอไปถึงประโยคแรกที่กราบทูลก็คือ “หนักครับ ช่วงนี้แย่มากเลยครับ”

ว่าแล้วเขาก็ทูลเล่าปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามาในชีวิต



สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงฟังอยู่นาน

แทนที่จะตรัสแนะนำหรือปลอบใจ

พระองค์กลับรับสั่งให้เขานั่งคุกเข่า ยื่นมือสองข้าง

แล้วพระองค์ก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งวางบนฝ่ามือของเขา

“นั่งอยู่นี่แหละ อย่าไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา”



รับสั่งเสร็จพระองค์ก็เสด็จเข้าไปในตำหนัก

นายทหารนั่งในท่านั้นอยู่นาน จาก ๑๐ นาทีเป็น ๒๐ นาที

สมเด็จพระสังฆราชก็ยังไม่เสด็จออกมา

เขาเริ่มเหนื่อย มือและขาเริ่มสั่น กระดาษชิ้นเล็กๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ

จนประคองแทบไม่ไหว พอสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเสด็จกลับมา

ก็ทรงถามว่า “เป็นไง?”



คำตอบของเขาคือ “หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว”

“อ้าว ทำไมไม่วางมันลงเสียละ?”

สมเด็จรับสั่ง “ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่ยังงั้นนะซี

มันจะเป็นอื่นไปได้ยังไง”



กระดาษที่เบาหวิว แต่หากถือไว้นานๆ

ไม่ยอมปล่อย ก็กลายเป็นของหนักไปได้

แต่ปัญหาถึงจะใหญ่โตเพียงใด

ถ้าไม่ยึดถือเอาไว้ ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้



ใช่หรือไม่ว่าหินก้อนใหญ่จะกลายเป็นของหนัก

และสร้างทุกข์ให้แก่เราก็ต่อ เมื่อเราแบกมันเอาไว้เท่านั้น

เมื่อมีสติรักษาใจ รู้เท่าทันความคิด ไม่เผลอยึดติดจนจิตหนักอึ้ง

แม้งานจะยาก อุปสรรคจะเยอะ ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้



คัดลอกจาก...ยึดติด [สารคดี กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑]

โดย พระไพศาล วิสาโล

08 กันยายน 2552

วาเลนไทน์ครั้งสุดท้าย

“แนนๆ ใกล้วาเลนไทน์แล้วนะ....” จอย เพื่อนร่วมงานของแนนหันมาคุย ขณะแนนกำลังง่วนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะตัวเอง


“อืม...วาเลนไทน์อีกแล้วสินะ” แนนเงยหน้าขึ้นสบตาจอยพลางยิ้มพูดเบาๆ

วาเลนไทน์...14 กุมภาพันธ์ วันที่กุหลาบทั่วโลกบานพร้อมกัน วันที่ความรักงอกงามได้เร็วกว่าทุกวัน และเป็นวันที่กามเทพแผงศร ให้หลายๆคู่ได้สมหวัง แต่คงไม่ใช่แนน...เธอคนนี้แน่นอน

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ความแออัดและตึกสูงในเมืองหลวง...มีหมู่บ้านจัดสรรเล็กๆกำลังก่อตัวขึ้น ก่อตัวขึ้นพร้อมกับความรัก ความรักของเขาและเธอ

“เธอๆ มาเล่นก่อกองทรายด้วยกันมั้ย” เด็กผู้ชายตัวเล็กๆหน้าตามอมแมมกำลังนั่งเล่นบนกองทรายสูงท่วมหัว

“เธอชื่ออะไร เราชื่อเอ” เด็กผู้ชายแนะนำตัวเองก่อน พลางกระโดดลงมาจากกองทราย

“ฉันชื่อแนน” เด็กผู้หญิงแนะนำตัวเองบ้างพลางค่อยๆนั่งลง ทั้งคู่ค่อยๆก่อกองทราย เด็กผู้หญิงวิ่งไปเอาน้ำมารดให้ทรายเปียกชุ่ม เด็กผู้ชายค่อยๆเอาเศษไม้เกลี่ยให้ดินทรายที่เปียกค่อยๆก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง จนได้เค้าโครงของปราสาททรายที่ต้องการ

“เอ เดี๋ยวแนนประดับปราสาททรายเองนะ” เด็กผู้หญิงวิ่งมาพร้อมกับก้อนหินสีสวยในกำมือ วางลงข้างๆปราสาททรายที่กำลังจะอวดโฉมออกมาเป็นรูปเป็นร่าง

“แนนๆ ตรงนี้เป็นห้องของแนนนะ ห้องของเจ้าหญิงงัย ส่วนตรงนี้เป็นห้องของเอ......อันนี้เป็นห้องประชุมนะ” เอพูดพลางชี้ไปเรื่อยๆบนปราสาททราย.....กองทรายแห่งความฝัน

“เอๆ ต้องทำสวนดอกไม้ตรงนี้ด้วย เจ้าหญิงต้องมีสวนดอกไม้นะ” แนนพูดแย้งขึ้นพลางชี้ไปตรงด้านหน้าปราสาททราย

“แนนอยากได้สวนอะไร....อยากได้ดอกไม้อะไร” เอพูด เงยหน้าขึ้นมองหน้าแนนอย่างใจจดใจจ่อ

“เอาดอกอะไรดี...เอ ช่วยแนนคิดหน่อยสิ” แนนมองหน้าเอด้วยแววตาใสซื่อ เด็กตัวเล็กๆสองคนกำลังสวมบทเจ้าหญิงและเจ้าชายกันอยู่

“อืม...เจ้าหญิงต้องเหมาะกับดอกกุหลาบนะ” เอพูดพลางทำท่าคิด

“ตกลงๆ สวนดอกกุหลาบนะ เราจะทำสวนดอกกุหลาบที่ลานหน้าปราสาทของเรา” แนนพูดพลางยิ้ม ค่อยๆเกลี่ยทรายให้เรียบเพื่อทำเป็นลาน....ทั้งคู่สร้างปราสาททรายแห่งความฝันของพวกเขาอยู่นาน....นานจนกระทั่ง

“เอ ไปได้แล้ว พ่อเสร็จงานแล้วลูก” เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรเดินมาสะกิดลูกชายตัวเองเบาๆ

“พ่อๆ ให้เอเล่นกันแนนอีกแป๊บนะ” ลูกชายออดอ้อนพ่อของตัวเอง

“หน่า ไปได้แล้ว เดี๋ยววันหลังมาเล่นใหม่ก็ได้นี่” พ่อของเขานั่งยองลง อธิบายให้ลูกชายฟังพลางลูบหัวเบาๆ

“ตกลงครับ เดี๋ยวให้เอบอกแนนก่อนนะ” เด็กผู้ชายตัวมอมแมมพูดพลางวิ่งกลับหลังไปหาเพื่อนของเขา

“แนน เดี๋ยวพรุ่งนี้เอมาหานะ พรุ่งนี้เอจะเอาดอกกุหลาบมา มาทำสวนกุหลาบให้แนนนะ” เอพูดพลางชี้นิ้วลงตรงลานหน้าปราสาททราย

“ตกลงๆ พรุ่งนี้เจอกันนะ” แนนยิ้มพูดพลางพยักหน้า เด็กสองคนเล่นกันช่างดูน่ารักเสียนี่กระไร

ทุกวัน เอและแนนจะมานั่งก่อปราสาททรายด้วยกัน ก่อสร้างความหวังบนมิตรภาพและความรัก ระหว่างลูกชายเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรและลูกสาวนายช่างใหญ่

“แนนๆ เมื่อวานแม่เราสอนให้เราเขียนหนังสือด้วยแหละ” เด็กผู้ชายเสื้อผ้ามอมแมมคลุกฝุ่นและทรายเปียกเงยหน้าขึ้นมองเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่วิ่งเข้ามา

“ไหนๆ แม่ของเอสอนเขียนคำว่าอะไร” แนนถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“แม่เอสอนเขียนหลายคำ แต่เอจำได้คำเดียว” เอพูดพลางทำเสียงเศร้าๆ เอคงอยากจำทุกคำมาเขียนให้แนนดู

“เอจำคำไหนได้ เขียนให้แนนดูหน่อยสิ” แนนพูด เอค่อยๆก้มลงข้างๆกองทราย หยิบเศษไม้เล็กๆปักลงบนผืนทรายที่เพิ่งผ่านฝนเมื่อคืนแล้วตวัดเป็นจังหวะเพียงชั่วครู่ ปรากฎเป็นตัวอักขระลายเส้นบิดพลิ้ว คำว่า รัก ปรากฎบนผืนทรายราบเรียบที่เกาะตัวเหนียวด้วยหยดน้ำ เด็กตัวเล็กๆสองคนยืนมองด้วยความตื่นเต้น

“อ่านว่าอะไร เอ” แนนพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นและแปลกใจ

“อ่านว่า รัก” เอพูดกระซิบข้างหูแนนเบาๆ

“เหรอ อ่านว่ารักเหรอ....สอนแนนเขียนหน่อยสิ นะๆๆๆ” แนนพูดพลางเกาะแขนออดอ้อนเอ

“มานี่ๆ เอจะสอน” เอพูดพลางหยิบเศษไม้เล็กๆให้แนนจับไว้ มือเอและมือแนนจับประสานกัน ตวัดบนกองทรายให้เกิดเป็นอักขระบิดพริ้ว

“นี่ไง แนนเขียนได้แล้ว ดีใจจังเลย” แนนพูดพลางหันหลังกลับไปกอดเอด้วยความดีใจ

“มันแปลว่าอะไรเหรอ เอ” แนนยังคงสงสัยไม่หายในความหมายของมัน

“เอก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แม่บอกว่ามันมีความหมายมากนะ มากจนอธิบายไม่ได้” ใช่สิ...ความหมายมันคงมากมายเกินกว่าเด็กห้าขวบจะรู้ หรือแม้แต่คนบางคนใช้เวลาทั้งชีวิต ก็ไม่อาจรู้ว่าคำว่ารักคืออะไร....

“สักวัน เราจะรู้ความหมายมัน แม่เอบอก” เอพูดพลางหันไปมองแนน เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ยืนข้างๆตน

“อืม สักวันนะ” แนนพูดพลางหันมายิ้มให้กับเอ ใช่ สักวันแนนและเอคงรู้ความหมายของมัน......

“โอ๊ย...เจ็บ” เด็กผู้หญิงผมเปียพูดขึ้นพลางจับผมเปียของตัวเองด้วยสีหน้าเซ็งๆ เธอโดนเพื่อนแกล้งดึงเปียผมของเธอประจำ

“ใครดึงผมเปียแนน” เด็กผู้ชายนั่งข้างๆเธอหันขวับกลับไปมองแทบจะพร้อมกันกับเจ้าของผมเปีย เห็นเด็กผู้ชายวัยเดียวกันสามคนนั่งอยู่ข้างหลังหัวเราะกันคิกคักพลางชี้นิ้วมาที่แนน

“ทำไมๆ ข้าดึงเอง จะทำไม” หนึ่งในเด็กสามคนพูดพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“แกล้งผู้หญิง หน้าตัวเมีย” เอยืนขึ้นชี้หน้าด่า

“แล้วจะทำไม” เด็กทั้งสามกรูกันมายืนหน้าเอ ถีบโต๊ะเรียนกระจัดกระจายคนละทิศคนละทาง

“ไม่เอาเอ อย่าไปยุ่งกับพวกนั้น” แนนพูดพลางเกาะแขนเอไว้แน่น เอเอามือจับแขนแนนออกจากตัวทันที...

ปั้ง...หนึ่งหมัดปล่อยออกไป คล้ายเป็นการประกาศสงครามของคนสองกลุ่ม ทั้งสามคนกรูเข้ามารุมเอคล้ายหมาป่ากำลังรุมขยุ้มเหยื่อ โต๊ะเรียนที่กระจัดกระจาย ข้าวของทั้งของเอและแนนตกกระจายเกลื่อนกลาดคนละทิศคนละทาง

“หยุด!!” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง...มีอำนาจมากพอจะทำให้ทั้งสี่คนหยุดการตะลุมบอนกัน



“พวกเธอทำอะไรกัน อันธพาลกันใหญ่แล้วนะ” ครูประจำชั้นเข้ามาห้ามทัพหมาป่าขยุ้มเหยื่อ แม้จะห้ามทัพได้ แต่ก็ได้ปรากฎเลือดไหลซิบๆที่คิ้วและโหนกแก้มของเอ

“เอ เจ็บมั้ย” แนนวิ่งเข้ามาทันทีที่ครูประจำชั้นเดินออกไป

“ไม่เจ็บหรอก” เอพูดพลางก้มหน้าหลบสายตาแนน

“ไม่เจ็บอะไร เลือดไหลใหญ่แล้ว ไปห้องพยาบาลนะ แนนจะทำแผลให้” แนนพูดพลางดึงตัวเอออกจากห้องเรียนไป เลือดไหลเป็นทางลงมาจากคิ้วและโหนกแก้มเปรอะเปื้อนเสื้อนักเรียนสีขาวของเอ

“โอ๊ย...เจ็บ อย่าจับสิ” เอพูดโพล่งขึ้นขณะที่แนนกำลังกดดูความลึกของบาดแผล...แต่แนนกลับยิ้มออก

“โอ๊ย แสบ” เอโอดครวญด้วยความเจ็บปวดทันทีเมื่อแนนค่อยๆกดสำลีชุบแอลกอฮอลงบนแผลของเอ

“แสบก็ทนสิ อยากหาเรื่องเค้านี่นา” แนนพูดพลางยิ้ม ค่อยๆเช็ดแผลบนใบหน้าของเอช้าๆอย่างระมัดระวัง

ทุกครั้งที่มีคนแกล้งแนน เอจะยืดอกปกป้องแนนเสมอ แม้จะต้องเจ็บตัวหรือตกอยู่ในภาวะเป็นรองก็ตามที....



“แนนๆ แฮปวาเลนไทน์นะ” ชายหนุ่มวัยรุ่นแต่งตัวภูมิฐานพูดห้วนๆพลางยืนกุหลาบแดงให้กับมือหญิงสาว

“อีตาบ๊อง อย่ามาทำหวานใส่ฉันหน่า” แนนพูดกวนๆพลางยิ้ม เอได้แต่ยืนม้วนด้วยความอาย

“อ้าว ก็วันนี้วันวาเลนไทน์ ทำหวานให้เจ้าหญิงของตัวเองสักหน่อยจะเป็นอะไรไป” เอพูดพลางยิ้ม ทำไมหนุ่มวัยรุ่นเวลาอายนี่ดูตลกดีแท้ ทั้งมือทั้งแขนแทบจะไม่มีที่เก็บ สงสัยถ้าแทรกแผ่นดินหนีได้คงหนีหายไปแล้ว

“หวานกับเค้าก็เป็นเหรอ เดี๋ยวนี้พัฒนาขึ้นนะ” แนนพูดพลางยื่นมือไปหยิกจมูกเอด้วยความเขิน เอยังคงพยายามสำรวมอาการเขินอยู่

“เอรักแนนนะ” เอพูดพลางจับมือแนนขึ้นมาเขียนรูปหัวใจไว้ที่ฝ่ามือ ตอนนี้แนนเริ่มหน้าแดงขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าตัวเอง

“เหรอ....เขียนคำว่ารักตรงนี้ ดูไม่ซึ้งเลย” แนนพยายามบ่ายเบี่ยง ไม่เลิกแหย่เอ

“เดี๋ยวสักวัน เอจะเขียนไว้ตรงหัวใจแนนเลยนะ” เอพูดประหม่า มองหน้าแนนพลางเอื้อมมือดึงตัวแนนเข้ามาโอบกอดไว้แน่น....สักวัน เอจะเขียนคำว่ารักไว้ในหัวใจแนนเลย.....

ใต้ต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศร่มรื่น มีโต๊ะหินอ่อนวางเรียงรายเป็นแนว มีนักศึกษาจับกลุ่ม บ้างคุยกัน บ้างอ่านหนังสือ บ้างหยอกล้อกินขนมกัน...

“เอ เย็นนี้แนนไปทำวิทยานิพนธ์กับเพื่อนนะ” แนนพูดพลางเก็บหนังสือ

“ไปทำวิทยานิพนธ์กับใคร” เอเงยหน้าขึ้นมองแนนทันที

“ไปกับกิ๊ฟกับฝนหนะ นะๆๆๆ” แนนพูดพลางเดินไปนั่งข้างๆเอ เขย่าแขนเหมือนเด็กอ้อนวอนผู้ใหญ่

“ให้เอไปส่งมั้ย เอว่างนะ” เอพูดพลางยิ้ม ลูบผมแนนเบาๆ

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฝนเอารถมา” แนนพูดพลางซบหน้าลงบนบ่าของเอ

“นี่ แล้วกินข้าวเสร็จแล้วอย่าลืมกินยาล่ะ เข้าใจมั้ย กลับถึงบ้านก็อย่าลืมโทรมาบอกด้วย” เอพูดพลางจ้องหน้าแนนด้วยสีหน้าจริงจัง

“ค่ะ หัวหน้า สั่งจริงๆเลย” แนนพูดพลางยิ้ม เอามือหยิกจมูกเอด้วยความเขิน

“กิ๊ฟๆ แฟนแกเป็นงัยบ้าง” ฝนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในรถ ขณะที่ตนอยู่หลังพวงมาลัย

“ปวดหัวสุดๆ เจ้าชู้เป็นบ้าเลย” กิ๊ฟพูดปัดๆคล้ายกับไม่ค่อยพอใจในแฟนตัวเองนัก

“ทำไมไม่เลิกๆไปสิ จะได้ไม่กลุ้ม” ฝนเสนอความเห็น มองหน้ากิ๊ฟผ่านกระจกมองหลัง



“หน่า....ให้โอกาสสักครั้ง” กิ๊ฟพูดพลางซบหน้าลงที่กระจกหันหน้ามองออกนอกรถด้วยอาการเอือมระอา

“โอกาสสักครั้ง รอบที่ล้าน” เสียงหัวเราะดังขึ้นเกือบพร้อมกันทั้งรถ

“แล้วแนนล่ะ แหม...เจ้าชายเธอเอาใจเธอดีนะ” ฝนพูดขึ้นพลางหันไปมองแนนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ

“โอ๊ย รายนั้นไม่รู้กี่ปีแล้ว ยังจับไม่ได้สักทีว่ามีกิ๊กเก็บไว้ที่ไหน” แนนพูดยิ้มพลางหันไปมองหน้าฝน

“แปลได้สองอย่าง...ถ้าแฟนเธอไม่รักเธอคนเดียว เค้าก็เก่งมากที่หลอกเธอมานานหลายปี” เสียงหัวเราะดังขึ้นแทบจะพร้อมกันทั่วรถ



“เอี๊ยยดดด.....” เสียงเบรกลากล้อดังยาวจากด้านข้างตัวรถ คนทั้งรถหันไปมองแทบจะพร้อมกัน รถบรรทุกฝ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนรถเก๋งของฝนอย่างจัง แรงอัดทำให้กระจกทุกบานแตกละเอียด ห้องโดยสารด้านหน้าฝั่งคนนั่งยุบเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด....ร่างไร้สติของแนนยังคงสงบนิ่งติดอยู่ในรถเก๋งขนาดสองตอน มัจจุราชอาจฉุดวิญญาณเธอออกจากร่างได้ทุกเมื่อ

“แนนๆ” เสียงกระซิบเบาๆดังข้างหู ทำให้แนนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมา

“อยู่ไหน....โอ๊ย เจ็บ” แนนค่อยๆอ้าปากพูด แต่ไม่ชัดนัก เฝือกขาวถูกแต่งแต้มถามร่างกายของแนนคล้ายกับเป็นเครื่องประดับ

“ใจเย็นๆ แนน เธอสลบไปสองเดือน” .....สองเดือน สองเดือน แนนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง. ...ฝนค่อยๆอธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แนนฟัง.....



“แล้ว สรุปว่าฉันเจ็บคนเดียวใช่มั้ย” แนนพยายามพูด เสียงพูดของแนนแทบจะไม่ได้ยิน

“อืม...” ฝนพยักหน้าเบาๆ กำมือแนนไว้นิ่งๆ

“เอ ล่ะ เออยู่ไหน” แนนเพิ่งนึกขึ้นได้ แฟนเธออยู่ไหน

“เอมาหาเธอครั้งเดียว วันแรกที่ชน แล้วหายไปเลย” ฝนพูดพลางลูบหัวแนนเบาๆ

“ไม่เป็นไรนะ ไม่มีเอ เราก็อยู่กันได้ จริงมั้ยเพื่อน” ฝนพยายามพูดปลอบใจแนน

“อืม...” น้ำตาค่อยๆกลั่นตัวหยดลงมาจากนัยน์ตาของแนน คำพูดของฝนตอนคุยกันในรถคงจะเป็นความจริง....เขาเก่งมากจริงๆ เก่งมากที่หลอกแนนมาหลายปี เก่งมากที่หลอกว่ามีแนนคนเดียว.....ทำไมผู้ชายทั้งโลกถึงนิสัยเหมือนกันหมดเลย เสียดายเวลาที่อยู่ด้วยกัน เสียดายความรักที่มอบให้.....เสียดาย เสียดาย เสียดาย

“คุณแนน ค่อยๆก้าวนะครับ ช้าๆ” บุรุษพยาบาลพยายามพยุงแนนขึ้นเดิน แนนยังคงไม่หายเจ็บดี ยังคงต้องทำการกายภาพบำบัดอีก

“ระวังล้มนะครับ จับผมไว้ดีๆ” บุรุษพยาบาลเดินช้าๆเพื่อให้แนนเกาะแขนเดินตามช้าๆ.....ทำไมบุรุษพยาบาลถึงไม่ใช่เอนะ....ทำไม ทำไม ทำไม

“คุณบุรุษพยาบาลค่ะ นี่ฉันสลบไปนานถึงขั้นต้องกายภาพบำบัดกันเลยเหรอ” แนนถามด้วยความสงสัย

“โห คุณไม่ได้เดินสามเดือนนี่ มันนานนะครับ” บุรุษพยาบาลตอบด้วยความสุภาพ

“จะว่าอะไรมั้ยค่ะ ถ้าจะถามชื่อเล่น คือถ้าเรียกว่าคุณบุรุษพยาบาล เกรงว่ามันจะยาวไป” แนนพูดพลางยิ้ม

“ผมชื่อ กอล์ฟ ครับ” บุรุษพยาบาลตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงเรียบๆ

นับจากวันนั้น แนนและกอล์ฟเริ่มสนิทกัน ทุกเย็นกอล์ฟจะพาแนนออกไปทำกายภาพบำบัด ไม่นานแนนก็สามารถเดินเองได้และออกจากโรงพยาบาลในที่สุด....

“คุณแนนค่ะ น้ำดื่มค่ะ” พยาบาลชุดขาวเดินถือแก้วน้ำมาวางข้างๆเธอ ขณะเธอนั่งรอกอล์ฟที่ล็อบบี้ของโรงพยาบาล เธอได้แต่พยักหน้าและยิ้มให้ด้วยไมตรี

“กอล์ฟๆ ไปกินข้าวกัน” แนนพูดทันทีที่เห็นกอล์ฟเดินออกมา มีพยาบาลหลายคนยกมือไหว้แนน แนนก็ได้แต่รับไหว้ด้วยสีหน้างงเล็กน้อย

“ไปสิครับ” กอล์ฟพูดพลางค้อมตัวลงผายมือไปที่ห้องอาหารของทางโรงพยาบาล ดูกอล์ฟค่อนข้างสุภาพและให้เกียรติแนนมาก....มากจนน่าแปลกใจ ท่าทางโรงพยาบาลนี้จะเข้มงวดเรื่องมารยาทกับพยาบาลมาก แนนและกอล์ฟสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ....จนบางครั้งแนนก็อยากให้กอล์ฟมาแทนที่เอ



บ่อยครั้งที่แนนคิดถึงเอ เอก็ไม่โทรมา

บ่อยครั้งที่แนนอยากคุยกับเอ เอก็ไม่ติดต่อมา

บ่อยครั้งที่แนนนั่งเหงา อยากให้เอนั่งเป็นเพื่อน แต่เอก็ไม่ปรากฎตัว

เอ....เอ....เอ เอหายไปไหน

ไหนล่ะ หัวใจที่เอบอกว่าจะให้แนน

ไหนล่ะ หัวใจที่เอเคยเขียนไว้บนฝ่ามือแนน

มันคงหายไปแล้ว....หายไปพร้อมกับเอ

หายไปพร้อมกับผู้ชายโกหก....ผู้ชายเจ้าชู้

ทำไมผู้ชายเหมือนกันทั้งโลก.....ทำไม ทำไม ทำไม

ใกล้วาเลนไทน์เข้าไปทุกที ปีนี้ไม่เหมือนกับปีก่อนๆ ไม่มีเอคอยให้ดอกกุหลาบแดง ไม่มีอีตาบ๊องทำท่าเขินอายให้ดู



“แนนๆ วาเลนไทน์ปีนี้ ว่างหรือเปล่าครับ” เสียงกอล์ฟดังตามสายโทรศัพท์

“ว่างค่ะ ทำไมค่ะ” แนนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“พอดีผมมีของจะให้แนนนะครับ เดี๋ยววันวาเลนไทน์บ่ายสามโมงเจอกันที่สยามนะครับ” กอล์ฟเสนอความเห็น

“ตกลงค่ะ” แนนพูดพลางกดวางสาย สีหน้าแววตาเปี่ยมด้วยความหวัง....หวังว่ากอล์ฟคงจะมาแทนที่เอได้เสียที

วันวาเลนไทน์ วันที่กุหลาบแดงบานสะพรั่งพร้อมกันทั่วโลก แม้ในลานที่สยามหรือที่วัยรุ่นเรียกกันสั้นๆว่า “เซนเตอร์พอยต์” ยังถูกละเลงด้วยดอกกุหลาบสีแดง...นักเรียน นักศึกษาต่างถือกุหลาบแดงในมือเดินกันขวักไขว่ทั่วลาน



“ขอโทษค่ะ มาสาย” แนนพูดพลางยิ้มก่อนดึงเก้าอี้ออกมานั่ง

“ไม่เป็นอะไรครับ” กอล์ฟพูดพลางยิ้ม

“อืม...ว่าแต่มีอะไรจะให้แนนเหรอ” แนนพูดพลางจ้องตากอล์ฟ...หากกอล์ฟมีพิรุธ แนนจะจับได้ทันที

“อันนี้ของแนนนะครับ” ดอกกุหลาบสีแดงถูกดึงออกมาจากถุงอย่างช้าๆ วางลงบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล

“หมายความว่ายังไงค่ะ จะขอหัวใจแนนเหรอ” แนนพูดติดตลกพลางยิ้ม เธอคิดว่าเธออ่านเกมส์ออกหมด

“ผมคงไม่กล้าขอหัวใจแนนหรอก” กอล์ฟพูดพลางยิ้ม แต่กลับทำให้แนนงง

“อ้าว...แล้วกุหลาบสีแดงนี่...” ไม่ทันแนนจะพูดจบ กอล์ฟต่อคำพูดของเขาทันที

“ผมไม่กล้าขอหัวใจแนนหรอกครับ เพราะหัวใจของแนนไม่ใช่ของแนน” ปั้ง...เหมือนมีแผ่นเหล็กหนาหลายฟุตทุบลงกลางศีรษะ แนนเริ่มงงกับความหมายขึ้นไปทุกที...มันแปลว่าอะไร???

“หัวใจของคุณ คือเจ้าของกุหลาบดอกนี้” กอล์ฟพูดต่อ....แนนทำหน้างงๆไม่เข้าใจความหมายแม้แต่นิดเดียว

“ตอนคุณประสบอุบัติเหตุเข้ามาที่โรงพยาบาล คุณเสียเลือดมาก...หัวใจคุณเต้นอ่อนจนแทบจะล้มเหลว พวกผมและหมอพยายามเยียวยาจนถึงที่สุด” กอล์ฟเริ่มอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น.....เรื่องที่แนนไม่เคยรู้



“มีผู้ชายคนนึง วิ่งเข้ามาบอกว่าเป็นแฟนคุณ เขาบอกให้ช่วยคุณให้ได้ เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า...เขายอมจ่ายไม่อั้น ไม่ว่าทางเราจะขออะไร เขาจะจัดหาให้หมด.....คำพูดของเขาทำให้ผมประทับใจมาก” กอล์ฟหยุดพูดชั่วครู่...แนนรู้ทันทีว่ากอล์ฟหมายถึงเอ

“ผมยอมแลกทุกอย่างกับชีวิตเธอ - เขายอมแลกทุกอย่างกับชีวิตคุณ” กอล์ฟพูดพลางจ้องหน้าแนนนิ่ง แต่แนนยังคงทำสีหน้างงอยู่

“เขายอมทุกอย่างจริงๆ ทีแรกหมอบอกว่าทางเราหาเลือดไม่พอให้คุณ เขาวิ่งตามหาเลือดให้คุณไปทั่วทุกโรงพยาบาล แต่กลับไม่พบว่ามีเลือดถุงไหนที่ตรงกับเลือดคุณ” กอล์ฟพูดด้วยน้ำเสียงปกติ สายตามองไร้จุดหมาย

“สุดท้ายเราตรวจเลือดของเขา พบว่าตรงกับของคุณพอดี เขาบอกให้ทางเราเอาไป เอาไปให้คุณ....ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะเป็นอย่างไร ขอแค่คุณปลอดภัยก็พอ” กอล์ฟหยุดพูดชั่วครู่พยายามกลั้นน้ำตา....แต่นัยน์ตาแนนเริ่มเจิ่งนองไปด้วยน้ำใสๆ

“ต่อมา...ตอนพวกผมถ่ายเลือดให้คุณ หัวใจคุณเต้นอ่อนลงเรื่อยๆ จนหมอต้องเดินออกไปบอกให้เขาทำใจ.....ทำใจว่าเขาจะต้องเสียคุณ” กอล์ฟพยายามเล่าต่อไปเรื่อยๆด้วยน้ำเสียงปกติ นัยน์ตาแนนเริ่มแดงก่ำ

“เขาถามหมอว่า เธอต้องการอะไร.....” ใช่ เอถามหมอว่าแนนต้องการอะไร

“เธอต้องการ หัวใจครับ หัวใจเธอเต้นไม่ปกติ การสูบฉีดล้มเหลว เราหาเลือดให้เธอช้าไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอต้องการคือ หัวใจ” หมอหวังว่าเอคงจะเลิกหวังในตัวแนน...หยุดเล่นเกมกับมัจจุราชเสียที

“ตกลง ผมหาให้ – เขาตอบสั้นๆโดยไม่ลังเลเลย” ตกลงผมหาให้....เอจะหาหัวใจให้แนน ทั้งๆที่รู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้...เขาไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวเพื่อจะทำให้เธอ

“คุณรู้มั้ย ว่าคำพูดของเขาทำให้ผมและหมออึ้งกันไปหมด โรงพยาบาลยังหาหัวใจให้คุณไม่ได้ เขาจะมีปัญญาที่ไหนหาหัวใจให้คุณได้” กอล์ฟพูดพลางพยายามหลบสายตาแนน....ตอนนี้กอล์ฟเริ่มกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว



“เขาถามเลขบัญชีของโรงพยาบาลกับหมอ....เขาไม่ได้โอนเงินมาซื้อหัวใจเทียมให้คุณ แต่เขาโอนมาตั้งมูลนิธิการกุศลให้โรงพยาบาล มูลนิธิช่วยเหลือผู้ป่วยด้านหัวใจเทียม “นานา” คุณดูดีๆ คำว่า แนน และ เอ ถ้าเขียนติดกัน มันคือ “นานา” นี่คือความปรารถนาสุดท้ายของเขา – เขาอยากให้ตัวเขาเองเป็นคนสุดท้ายที่ไม่ได้อยู่กับคนที่เขารัก...เพราะไม่มีหัวใจเทียมสำรอง” เปี๊ยง....แนนโดนสะกิดต่อมความจำเข้าเต็มเปา...เธอเคยเห็นป้ายมูลนิธิขึ้นหราที่โรงพยาบาล แต่เธอไม่เคยเฉลียวใจสักนิด...มิน่า ทำไมหมอและพยาบาลต้องให้เกียรติและดูแลเธอดีเสียจนน่าแปลกใจ ทั้งๆที่เธอไม่มีส่วนได้เสียกับโรงพยาบาลแม้แต่บาทเดียว



“ทันทีที่มีการยืนยันว่าเงินเข้าบัญชีทางโรงพยาบาล เขาก็ยิงตัวตายในห้องน้ำโรงพยาบาลครับ ทิ้งโน้ตไว้ว่า มอบหัวใจให้เธอ - เขามอบหัวใจของเขาให้คุณ” ทันทีที่กอล์ฟพูดจบ แนนปล่อยโฮออกมาเหมือนไม่มีใครอยู่ข้างๆ โต๊ะรอบข้างหันมามองแนนเป็นตาเดียว....เอคือเจ้าของหัวใจ หัวใจที่อยู่ในร่างของแนน

“เขายอมแลกทุกอย่างกับคุณจริงๆ” กอล์ฟพูดพลางวางของทั้งหมดที่เอเคยฝากไว้กับทางโรงพยาบาลคืนให้กับแนน มีทั้งเครื่องเล่นเทป ม้วนเทป จดหมาย.....

“ผมคงไม่กล้าขอหัวใจคุณหรอก หัวใจคุณเป็นของเขา หัวใจเขาเป็นของคุณ” ใช่ หัวใจเอเป็นของแนน เป็นของแนนจริงๆ...ตอนนี้หัวใจแนนตายไปเรียบร้อยแล้ว ตายไปพร้อมกับเอ ตายไปพร้อมกับผู้ชายที่ยอมทุกอย่างเพื่อเธอ

“กุหลาบดอกนี้ เขาบอกผมก่อนไปเข้าห้องน้ำว่า...วาเลนไทน์ที่จะถึง รบกวนซื้อกุหลาบสีแดงให้คุณสักดอก ขอแค่ดอกเดียวก็พอ...เป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายของเขา” กอล์ฟพูดพลางเช็ดน้ำตา นั่งนิ่งๆสักพักก่อนลุกจากโต๊ะไป....ทิ้งแนนนั่งนิ่งอยู่เพียงลำพัง

“เอรักแนนนะ” “เอรักแนนนะ” “เอรักแนนนะ” คำพูดซ้ำๆดังมาจากเครื่องเล่นเทป เป็นคำพูดเดียวกันที่พูดกันซ้ำโดยไม่มีการตัดต่อทั้งเทป.....เทป 120 นาทีโดยมีเพลงประกอบเบาๆ แนนค่อยๆคลี่จดหมายออกอ่าน....จดหมายที่มีเนื้อความเพียงบรรทัดเดียว



“หัวใจเอ...เขียนคำว่ารักไว้ เขียนให้แนนคนเดียว”

05 กันยายน 2552

เมื่อความรักออนไลน์

เมื่อความรักออนไลน์


การแสวงหาความรักที่ออนไลน์อยู่บนโลกไซเบอร์ใบนี้

ไม่ได้ง่ายดายหรือยากลำบาก

ไปกว่าการแสวงหาความรักในโลกแห่งความเป็นจริง

ที่มีผู้คนเดินสวนกันไปมาแม้แต่น้อย



มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากชีวิตจริง

คุณจะบอกได้ในทันที

ที่คุณเดินสวนกับใครสักคน และรู้สึกสะดุดตา

สะดุดความรู้สึกกับใครคนนั้นไหม ว่าคนๆ นั้นคือ





คนที่ใช่....คือใครบางคนที่คุณตามหา

หรือคือคนที่คุณมั่นใจว่าจะวางอนาคตไว้ร่วมกับเขา

แน่นอน...หากคุณยังมีเหตุผลเพียงพอ

ที่จะไม่ปล่อยให้อารมณ์อ่อนไหววาบหวามเป็นตัวบงการ

ว่าคนที่คุณคิดว่า เขาอาจจะใช่คนที่คุณรอคอย

คือ คนที่จะร่วมชีวิตกับคุณ

จนกว่าคุณจะได้เรียนรู้

และพิสูจน์คนคนนั้นอย่างชัดเจนเสียก่อน



การแลกเปลี่ยนทางความคิด

กับคนพิเศษที่ออนไลน์มาพบกัน

อาจเริ่มต้นขึ้นอย่างเปิดเผยและง่ายดาย

ความสวยงามของตัวหนังสือที่พิมพ์ส่งมา

อาจมีมนต์ขลังเสียจนทำให้หัวใจของคุณ....

ผูกมัดด้วยจินตนาการงดงามของภาพฝันอุดมคติ

แต่คุณจะด่วนสรุปได้อย่างไรว่า.....

นั่นคือ......ความรัก

จนกว่าคุณจะก้าวออกมาจากโลกแห่งความฝันของคุณ

เพื่อมาพบกับความเป็นจริงที่คนคนนั้นเป็นอยู่



การปล่อยให้ตัวเองผูกพันกับจินตนาการ

มีแต่จะทำให้คุณพบกับความผิดหวังและปวดร้าว

หากภาพฝันนั้นไม่เป็นอย่างที่คุณคิด



ความรักไม่อาจเริ่มต้นระหว่างคนแปลกหน้า

และไม่ว่าคุณจะออนไลน์

คุยกับเขายาวนานนับปี

ด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคยเปิดเผยเพียงไร

กำแพงแห่งความแปลกหน้าก็ไม่มีวันพังทลายลง

จนกว่าคุณและเขาจะได้พบกันในโลกแห่งความเป็นจริง



รักแท้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดายบนโลกสับสนใบนี้

และยิ่งไม่อาจค้นพบได้ง่ายดายในโลกที่มองไม่เห็น

ความรักต้องการการเรียนรู้

และเข้าใจอย่างลึกซึ้งระหว่างคนสองคน

ความรักคือการรู้จัก

เพื่อที่จะยอมรับในตัวตนของกันละกันอย่างแท้จริง





ดังนั้นหากคุณกำลังคิดว่า

คุณมีความรัก หรือเจ็บปวดกับคนพิเศษซักคน

ที่ออนไลน์มาพบกันประจำทุกวัน

ทั้งที่คุณไม่เคยได้ยินเสียง ไม่เคยเห็นหน้า

และไม่เคยจะรับรู้ความจริงว่า

เขาเป็นอย่างไรเมื่อใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปกติ

หรือเพียงแต่หลงรักภาพอุดมคติที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้นมา

คุณก็ควรที่จะพาเขาและตัวคุณเอง

ก้าวออกมาพบกันบนโลกแห่งความเป็นจริง







..........ชนัญญา ศิริวัฒนา.......