Custom Search

26 สิงหาคม 2552

แม่กูสอน

เพื่อน ๆ บอกผมว่า

ทำไมมึงดูหน้าตาไม่ค่อยฉลาด แต่เรียนเก่งจังวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้ขยันแล้วก็ตั้งใจเรียน
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมพอมึงมีตังค์ มึงชอบเอาไปทำบุญ แจกเด็ก เลี้ยงพระวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้รู้จักแบ่งปันคนอื่น ถึงเราจะมีตังค์น้อย แต่ก็มีคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรา
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงชอบเล่นกีฬา เล่นเป็นหลายอย่าง แล้วไม่เคยเห็นมึงป่วยนอนโรงพยาบาลเลยวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้กูออกกำลังกาย จะได้แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ๆ เพราะเรามีตังค์น้อย เจ็บป่วยจะลำบาก
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่โกรธใครบ้างเลยหรือไงวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้เป็นคนอารมณ์ดี ทำให้คนที่อยู่ใกล้เรามีความสุข แล้วจะสบายใจกันทุกคน
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงพูดกับคนอื่น ดูสุภาพ อ่อนน้อม ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลุงแก่ ๆ เป็นเด็กเสริฟอาหาร
หรือแม้แต่ขอทานที่มึงให้เศษตังค์แล้วเขาอวยพรให้มึง ทำไมมึงต้องขอบคุณขอทานวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้พูดดี ๆ กับทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เราพูดดี ๆ กับเขา เขาก็จะได้พูดดี ๆ กับเรา
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมพี่ ๆ น้อง ๆ มึงตั้งหลายคน ทำไมรักใคร่กันดี ไม่เคยทะเลาะกันเลยวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้พี่น้องรักกันทุกคน เพราะหมากับแมวที่อยู่บ้านเดียวกัน มันยังรักกันได้
ทำไมพี่น้องกัน จะรักกันไม่ได้
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมมึงถึงรักชาติ รักแผ่นดิน รักในหลวง มากมายนักวะ
ผมบอกเพื่อนว่า
แม่กูสอน ให้กูสำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน บุญคุณของพระมหากษัติรย์ ทุกพระองค์
แม่กูสอน ให้กูรู้จักคำว่า จงรักภักดี ตั้งแต่กูยังไม่รู้ความหมาย จนทุกวันนี้ กูรู้แล้วว่า
คำว่า จงรักภักดี นั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด
เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมแม่มึงถึงสอนอะไรมึงมากมายจังเลยวะ
ผมบอกเพื่อนว่า
ที่กูเป็นกูอยู่จนทุกวันนี้ ก็เพราะ ' แม่กูสอน '
แม่กูสอนอะไร กูทำตามแม่กูสอนทุกอย่าง
มีอย่างเดียวที่แม่กูไม่ได้สอน แต่กูทำ แล้วกูทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว
แม่กูไม่ได้สอนให้รักแม่ แต่......กูรักแม่ว่ะ
ใครไม่รัก..................กูรัก
fw mail

ดอกไม้ .... ของนายก้อนหิน

ผมรู้จัก..ผู้หญิงคนหนึ่ง..ด้วยความบังเอิญ



แต่ผมบอกตัวเองว่า..เป็นเพราะ..พรหมลิขิต


ผมพบเธอ..ที่ริมบึงขนาดใหญ่..หน้ามหาวิทยาลัย


ขณะที่..ผมกำลังไปวิ่งออกกำลังกาย


เธอกำลังง่วนอยู่กับผืนผ้าใบ .. และภาพอาทิตย์ลับขอบฟ้า


ผมยาว..ที่ถูกรวบเป็นมวยด้านหลัง..ถูกปักด้วยพู่กันอันโต.. แทนปิ่นปักผม


เสื้อกล้ามสีขาว.. สร้อยข้อมือเต็มแขน


กางเกงยีนส์สีซีด..และรองเท้าผ้าใบโทรมๆ


เธอคงดูเป็นผู้หญิงเรียนศิลปะ..เซอเซอ..จนไม่น่าดู


หากไม่เพราะ..ใบหน้าที่งดงาม..ราวภาพวาดของจิตรกรเอกนั้น


เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่สวย ....หากไม่พิศมองอย่างดี


แต่เธอก็ดูน่ารักมาก..ในสายตาผม


ผมบอกตัวเองว่า..หากผมวิ่งวนกลับมาอีกรอบ..แล้วเจอเธอ


ผม..จะเข้าไปคุยด้วย


วันนี้ ....จู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง..เข้ามาคุยกับฉัน


เขาเรียนวิศวะ .. ท่าทางเป็นหนุ่มเจ้าสำอางเชียว


แต่ดูท่าทาง..จะเป็นที่รู้จักในคณะน่าดูนะ


เพราะตอนที่ช่วยฉัน..หอบอุปกรณ์วาดรูป..มาส่งที่รถ


มีรุ่นน้อง..มาทักเยอะเชียว


ยิ่งรู้จัก.. ผมยิ่งรู้สึกว่า..เธอน่ารักครับ


เธอเป็นรุ่นน้องผม 1 ปี ..แต่ก็ไม่เคยเรียกผมว่า "พี่"..ซักคำ


เธอบอกว่า.. เรารู้จักกันในฐานะเพื่อน.. ไม่ใช่รุ่นพี่.. รุ่นน้อง


เพราะเธอขี้เกียจนอบน้อม..ให้ผม .. อย่างที่รุ่นน้องในคณะเป็นกัน


ก็แหม..เคยเป็นประธานเชียร์นี่ครับ ..รุ่นน้องก็ต้องเกรง..เป็นธรรมดา


เธอเป็นผู้หญิง..ที่ใจดีมากครับ


ทุกวันเสาร์..เธอจะไปสอนศิลปะ..ให้เด็กกำพร้า


และวันไหนที่ว่าง..ก็จะไปอ่านนิทานอัดเทป..ให้เด็กๆ ตาบอดฟัง


ตอนนี้..ผมมั่นใจแล้วครับว่า..ผมชอบเธอมาก


แถมภูมิใจมาก..ที่คนที่ผมชอบ..เป็นคนดีมากด้วย


เขาเป็นผู้ชาย..ที่ใช้ได้ทีเดียวแหละ


อย่างน้อย..ก็รู้จักเทคแคร์ผู้หญิง..


มากกว่า..เพื่อนที่คณะของฉัน..เยอะทีเดียว


แล้วก็เป็นคนมุ่งมั่นดี ..


เขาตั้งใจเรียนมากเลยนะ .. ไม่เคยขาดเรียนเลย


เล่นเอาฉันรู้สึกผิด .. ที่โดดเรียน..เป็นว่าเล่น


แล้วก็เป็นคนขยันทำกิจกรรม..ของมหาวิทยาลัย ..ซึ่งฉันไม่คิดจะทำ


ต่างกันจริงแฮะ..ฉันกับเขา


วันนี้..เธอชวนผม....ไปขับรถเล่นครับ


เธอบอกว่า..อยากไปอุทยานแห่งชาติ..ที่อยู่ไม่ไกลจากมหาลัยนัก


แต่ก็เป็นร้อยกิโล..เลยนะครับ


ผมมองมอเตอร์ไซต์เก่าๆ.. โทรมๆ.. ของผมแล้ว .... ก็ยากจะไปถึงครับ


เธอทำหน้าขรึม..แล้วยื่นกุญแจรถของเธอ..ให้ผม


บ้านเธอรวยครับ ..เธอมีรถยนต์ส่วนตัวใช้


ผมรู้สึกได้ทันทีว่า..เธอกำลังไม่สบายใจ


รถไปได้เดี๋ยวเดียว..เธอก็ร้องไห้โฮเลยครับ


ผมเลยรู้ว่า..เธอขี้แยไม่เบา


เรื่องของเรื่อง..ที่เธอกลุ้มใจ..ก็คือ ..


ที่บ้านเธอ..ไม่ยอมมาเยี่ยมเธอในวันนี้..ตามที่นัดไว้ครับ


เพราะน้องชาย..ไม่สบายนิดหน่อย


ผมขำไม่ออก


เพราะท่าทางเธอเสียใจ..กับเรื่องที่ผมเห็นว่า..เป็นสิ่งเล็กน้อยนี้มาก


จึงได้แต่เงียบ.. แล้วก็เล่าเรื่องของผม..ให้เธอฟังบ้าง


ฉันไม่กล้าฟูมฟาย..เลยทีเดียว


เมื่อเขาเล่าเรื่องครอบครัวของเขา..ให้ฉันฟัง


เขาเล่าให้ฟังว่า..


พ่อกับแม่ของเขา....เลิกกัน


และเขาก็ไม่เชิงว่า..มีใครเลี้ยง..


เพราะอยู่กับพ่อบ้าง ....อยู่กับแม่บ้าง ..อยู่กับญาติบ้าง


และแต่ละที่..ก็ไม่ใช่ที่ของเขา


เพราะทุกคน..ต่างมีครอบครัว..ของตัวเอง


อยู่ที่ไหน..เขาก็เหมือนเป็นแค่..คนอาศัย


ตอนนี้..เขาอาศัย....การได้ทุนการศึกษา..


และค่าใช้จ่าย..ที่พี่สาวส่งให้นิดหน่อย..ดำรงชีวิต


เพื่อก้าวไปยังเส้นทาง..ที่สบายขึ้น


ฉันทึ่งมาก..ที่เขาเข้มแข็ง ..และไม่ร้องไห้..กับโชคชะตาของตนเอง


ตั้งใจเรียน ..ไม่เกเร ....


ฉันโชคดีกว่าเขา..เยอะมากทีเดียว ..


สงสารเขาจังแฮะ

เธอบอกผมว่า ..


บางที..ถ้าผมเสียใจ ..ผมควรจะร้องไห้บ้าง


เพราะถ้าไม่ร้องเสียบ้าง ....


ความเสียใจต่างๆ.. จะถูกสะสมเป็น..ตะกอนในหัวใจ..ของผมเอง


แล้วท้ายที่สุด ..หัวใจของผม..จะกลายเป็น .." ก้อนหิน"


แม้จะแข็งแกร่ง .... และผมจะไม่มีวันเสียใจอีก


แต่มันจะทำให้..คนใกล้ตัวของผม..บอบช้ำ..ยามโดนผมกระทบ


ผมก็เลยบอกเธอว่า ..


ผมเห็นเธอเป็น.. ดอกไม้..ของนายก้อนหิน


ดอกไม้..ที่ช่วยมาเติมความอ่อนหวาน..


ให้กับก้อนหิน..ที่ไม่ค่อยมีค่า..ก้อนนี้


สรุปแล้ว..วันนั้น.. เราก็ไปไหน..ไม่ได้ไกล


เพราะทันที..ที่เห็นทุ่งนาเขียวขจีกว้างไกล ..


เธอก็ขอให้ผม..หยุดรถ


แล้วลงไปวิ่ง ..เหมือนไล่คว้าอะไรบางอย่าง


เธอบอกว่า.. เธอกำลังวิ่งไล่จับ .." ความฝัน"


วันนี้..เขารับปริญญา ..ฉันอาสาเป็นตากล้อง


ครอบครัวเขา..มีแม่..มาแค่คนเดียว


แต่บ้านฉัน..มากันทั้งบ้านเลยแหละ


พ่อแม่ .... และน้องชายฉัน..ชอบเขามาก


ก็ดีแล้วล่ะ ..เพราะฉันอยากให้เขา..ได้รับความอบอุ่นในครอบครัว


อย่างที่ฉัน..ได้รับมาเสมอบ้าง


ฉันอยากให้เขา..มีความสุข


เพราะความสุขของเขา..ก็เป็นความสุขของฉัน..เหมือนกัน


วันนี้....เราสนุกสนานกันใหญ่..


เหล่าเด็ก..อย่างพวกเรา..


พาคนสูงวัย 3 คน..ไปปล่อยแก่กัน..ในคาราโอเกะทั้งคืน


ก็ไม่ได้จ่ายเองนี่ .. พ่อแม่มาทั้งที.. นี่นา


แม่ของเขา..เข้ากับแม่ของฉัน..ได้ดีทีเดียว


ผมได้ทุนจากมหาวิทยาลัย..ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น


เหงามากครับ..


ทั้งที่ผมเคยชินกับความเหงา..มาตลอดชีวิต .. ก่อนที่จะพบเธอ


ผมหลีกเลี่ยงความเหงา..

โดยการตั้งใจเรียน ..เวลาว่าง..ก็ทำงานพิเศษ


ผมเก็บเงินได้ก้อนโต..ทีเดียวครับ


คิดว่า..พอเรียนจบกลับไป....จะไปขอเธอหมั้นไว้ก่อน


เธออีเมล์..มาเล่าให้ฟังว่า ..

เธอได้งาน..ในบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์..แห่งหนึ่ง


กำลัง..สนุกกับงาน


อีกไม่กี่เดือน..เขาก็จะกลับมาแล้ว


เห็นบอกว่า..เอาแต่เรียน..กับทำงาน .... จนไม่มีเวลาใช้เงิน ..


แหม..คงรวยใหญ่


ฉันเอง..ก็กำลังสนุกกับงานที่ทำ


อาจเหงาบ้าง.. แต่อีกไม่กี่เดือน..คงหายเหงา


พ่อเพิ่งซื้อคอนโดไว้ให้ ..กำลังตกแต่ง


พ่อกับแม่..วางแผนไว้เสร็จสรรพว่า..


พอเขากลับมา..จะยัดเยียดลูกสาว..ให้ทันที


แล้วให้ย้ายไปอยู่คอนโดใหม่ซะ


พ่อกับแม่..ให้เหตุผลว่า..


อพาร์ทเม้นที่ฉันอยู่..มันไม่ค่อยปลอดภัย..


สำหรับ..การอยู่คนเดียวนัก


วันนี้..ผมได้รับจดหมาย..จากที่บ้านของเธอ


เดาได้ว่า..เธอคงยังไม่รู้เรื่องแน่ๆ


พ่อกับแม่ของเธอ..เขียนจดหมายมาบอกว่า..


ให้ผม..กลับไปรับลูกสาว..ไปจากอกท่านด่วน


พร้อมกับซื้อคอนโดไว้..เป็นค่าสินสอดให้แล้ว


ถ้าผมจะเรียกร้องอะไรอีก..ก็ขอให้บอก


ขอเพียงช่วยรับลูกสาวท่าน..ไปเลี้ยงดูแทนก็พอ


พร้อมกับ..ส่งเอกสารโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมาด้วย


ที่บ้านของเธอ..น่ารักอย่างนี้เสมอครับ


ทั้งๆ ที่..ผมเป็นคนอื่น ...


แต่ท่านทั้งคู่..ก็เอ็นดูผมมากทีเดียว


กลายเป็นว่า..เงินทองที่ผมสะสม..เพื่อขอเธอแต่งงาน..ก็อดใช้ครับ


เก็บไว้ให้ลูกแทน..แล้วกัน


ตื่นเต้นครับ ..อีกไม่กี่วัน..ผมก็จะได้กลับไปหาเธอแล้ว


ดอกไม้..ของผม


พรุ่งนี้..เขาจะกลับมาแล้วล่ะ


เดี๋ยวตอนเย็น.. ฉันจะออกไปหาซื้อข้าวของ..และอาหาร


มาเตรียมไว้..ทำให้เขากิน..พรุ่งนี้


เขาต้องแปลกใจมากแน่ๆ.. ที่ฉันทำอาหารเป็นแล้ว ..หุหุ

ใช้เวลาฝึกฝน..แรมปีเชียวนะ


โอ๊ย .. ตื่นเต้นจังเลย..


แล้วพรุ่งนี้..เจอกันนะ


นายก้อนหิน..ของฉัน


เราสมัครใจ..เป็นดอกไม้...ที่อยู่ข้างก้อนหิน


เพราะดอกไม้ดอกนี้ ..แสนบอบบาง


เราจะมีก้อนหิน..คอยดูแล.... ปกป้อง


นายไม่ต้องห่วงหรอก


นายไปเรียนแค่ 2 ปี.. เราอยู่คนเดียวได้..สบายมาก


ถึง 2 ปีนี้ .... ดอกไม้..จะไม่มีก้อนหิน..คอยดูแล


ดอกไม้..จะฮึด..เอาความแข็งแกร่งทั้งหมด..มาดูแลตัวเอง


เพราะ..เมื่อก้อนหิน..กลับมา


ดอกไม้..ก็ไม่ต้องมีความแข็งแกร่ง..ก็ได้


ยังไง..ก็มีคนดูแลอยู่แล้ว


*


*


*


แต่..ผมไม่ได้ขอหมั้นเธอ....หรอกครับ


ไม่มีงานแต่งงาน....เกิดขึ้นด้วย


คอนโด..ก็ถูกขาย


ผมย้ายไปอยู่ที่บ้านของเธอ ..กับพ่อแม่ .... และน้องชายของเธอ


.......


แต่... ไม่มีเธอ..หรอกครับ


......


......


เธอถูกวัยรุ่นเมายา-กลุ่มหนึ่ง..ขับรถชน


ในวันที่..ไปซื้อข้าวของ..เพื่อทำอาหารให้ผมครับ


แค่เสี้ยววินาที..เท่านั้น


ที่ผมจะกลับมาดูแลเธอ..ได้แล้วแท้ๆ


แต่มันก็..สายเกินไป


ไม่มีอีกแล้วครับ..


ดอกไม้..ของนายก้อนหิน


*


*
ใครที่ยังมี... คนสำคัญของหัวใจ... ข้างกายอยู่


ดูแลเขาให้ดี.. ทุกวินาที..นะครับ


เพราะเพียงพริบตา..ที่ไม่ได้ดูแล


เมื่อคุณ..ลืมตา..อีกครั้ง


อาจไม่มีเขา..ให้ดูแลแล้ว..ก็ได้

25 สิงหาคม 2552

ถ้าคุณรักเขาแล้วเขาจะรักคุณไหม . . . ?

ถ้าคุณรักเขาแล้วเขาจะรักคุณไหม . . . ? ลองค้นหาคำตอบดูดีไหม


ถ้าคุณทำเพื่อเขา . . . แล้วเขาเคยทำเพื่อคุณกลับสักครั้งบ้างรึเปล่า?

ถ้าคุณกำลังเหงา เขาจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณไหม

ถ้าคุณกำลังเจอปัญหา เขาจะยังยืนอยู่เคียงข้างคุณไหม



ถ้ามีวันหนึ่งvคุณทำผิดเขาจะอภัยให้คุณได้ไหม

ถ้าคุณกำลังอยากระบายเรื่องอะไรสักเรื่อง . . .

แต่ดึกมากแล้วคุณลองโทรไปหาเขา เขาจะรับฟังหรือจะต่อว่าคุณ



ถ้าคุณกำลังท้อแท้ เขาสามารถให้กำลังใจคุณได้ดีแค่ไหน

ถ้าคุณให้ของขวัญเขา แม้เขาจะไม่ชอบ . . .

แต่เขายังยิ้มและรับอย่างเต็มใจจริงๆ ได้ไหม



ถ้าคุณไม่สวยหรือหล่อ ไม่เก่งหรือมีข้อเสีย เขาสามารถมองข้ามมันไปได้ไหม

เขาเคยเตือนคุณไหม เวลาคุณกำลังทำผิดอะไร

เวลาเขาเสียใจเคยไหม ที่เขายอมระบายมันให้คุณฟัง

ถ้าคุณงอนเขา . . . เขาเคยง้อคุณก่อนบ้างไหม



เคยไหม . . . ? ที่เขาทำอะไรให้เรา โดยไม่หวังผลตอบแทน

เคยไหม . . . ? ที่เขาเข้ามาวุ่นวายกับเราจนทำให้เรารู้สึกรำคาญ

เคยไหมสักครั้งที่เขาบอกรักคุณ . . .?



ถ้าคุณทำเพื่อเขา แต่เขาไม่เคยทำเพื่อคุณสักครั้ง . . .

คุณมั่นใจแค่ไหนว่าเขาเห็นคุณสำคัญ

ถ้าคุณเหงา แต่เขายังปฏิเสธที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ

. . . คุณมั่นใจขนาดไหนว่าเขาสนใจความรู้สึกคุณ



ถ้าคุณเจอปัญหา แต่กลับไร้เงาของเขา

. . . คุณแน่ใจไหมว่าต่อไป

เขาจะเสียสละความสุขส่วนตัวมานั่งแก้ปัญหาเพื่อคุณได้





ถ้าคุณทำผิด แต่เขาไม่สามมารถให้อภัยคุณได้..

. . . คุณมั่นใจไหมว่า ต่อไปจากนี้เขาจะยอมรับเรื่องราวต่างๆ ของคุณได้

ถ้าคุณกำลังอยากระบายเรื่องราวต่างๆ

. . . แม้มันจะดึกคุณเลือกโทรไปหาเขา



แต่เขาต่อว่าคุณลงซะนี่ เขาคงไม่เหมาะจะใช้ชีวิตร่วมกับคุณแน่ๆ

ถ้าคุณกำลังท้อแท้ แต่เขาไม่เคยเลยที่จะให้กำลังใจคุณ

. . . แล้วต่อไปคุณไม่ต้องให้กำลังตัวเองจนตายเหรอ

ถ้าคุณให้ของขวัญเขา แต่เขากลับยิ้มแหย่ๆ แบบไม่เต็มใจรับ

เขาคงไม่รู้หรอกว่า ความหมายของของขวัญคุณมากมายแค่ไหน



ถ้าคุณไม่สวยไม่หล่อเก่งเริด หรือ มีข้อเสียที่คนอื่นคิดว่าร้ายแรง

. . . แต่เขากลับมองเห็นว่าไม่สำคัญ

เขาคงเดินทางเดียวกับคุณได้ไม่ยากนักหรอก

ถ้าคุณทำผิดอยู่ แล้วเขาเข้ามาเตือนคุณ

แสดงว่าเขาเป็นห่วงและคอยเฝ้ามองคุณอยู่น่ะ รู้ตัวไหม



ถ้าเขาเลือกคุณเป็นที่ระบายจงภูมิใจเถอะ . . .

เพราะคุณจะเป็นคนที่เขาไว้ใจที่สำคัญคนหนึ่งเชียวนะ

ถ้าคุณงอนเขา แล้วเขาเข้ามาง้อ แม้คุณจะผิด

. . . แสดงว่าเขาแคร์คุณน่ะอย่าเล่นตัวมากล่ะ



ถ้าเขาทำเพื่อคุณแบบไม่หวังอะไร นอกจากให้คุณมีความสุข

. . . คุณรุ้ไหมคนที่วิเศษที่สุดกำลังอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว

. . . แล้วคุณล่ะจะเลือกเดินผ่านหรือเลือกร่วมเดินทางเดียวกับเขา



ถ้าเขาเข้ามาวุ่นวายกับคุณจงอย่ารำคาญเลยนะ

เพราะเขาใส่ใจกับคุณมากเลยล่ะ

. . . ไม่งั้นไม่เสียเวลามาวุ่นวายให้โดนคุณด่าหรอก



ถ้าเขาไม่เคยบอกรัก ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รักนะ

ลองกลับไปดูข้อข้างบนซะว่า . . . มันเป็นจริงแค่ไหน

แล้วค่อยมาตัดสินด้วยใจคุณเองดีกว่า



ความรักไม่ใช่แค่ใช้ตามอง . . .

แต่ต้องใช้หัวใจเป็นๆ ของคุณเข้าไปสัมผัสมันนะ

ความรักไม่ใช้ของแจกฟรี . . .

อย่ารักทีล่ะมากๆ เพราะมันอาจจะทำให้คุณเสียสิ่งสำคัญไป



ความรัก คือ สิ่งบริสุทธิ์ จงอย่ามักง่ายที่จะใช้ความรัก

เพราะเมื่อคุณมักง่ายกับสิ่งนี้

คุณจะได้สัมผัสกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส



. . . ถ้าไม่เชื่อลองดูดิ!!!



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ข้อมูลจาก Forward mail

แต่งโดยคุณ ทะเลชมพู

22 สิงหาคม 2552

เรื่อง: ส้ม 9 ผล"ชาญชัย คำเมฆ"

มีผู้ใจดีซื้อส้มชั้นดีคัดพิเศษ 9 ลูก ราคา 45 บาท แล้วจากนั้นก็แจกให้กับคนกลุ่มหนึ่ง......


- ส้มผลแรก

อยู่กับขอทาน ขอทานผู้นั้นแกะทานแค่ครึ่งหนึ่ง แล้วอีกครึ่งหนึ่งก็ ขว้างทิ้งไปอย่างไม่แยแส....แล้วก็บ่นว่า..

" ทุเรศจัง..ให้มาได้แค่ส้มผลเดียว "


- ส้มผลที่สอง

อยู่กับลูกของผู้ใจดี ลูกของผู้ใจดีนั้นก็แกะทานทันที เมื่อทานหมดผลแล้ว ก็พูดว่า.." ส้มนี้..อร่อยดีนะ "



- ส้มผลที่สาม

อยู่กับแม่ของผู้ใจดี แม่ของผู้ใจดีนี้ นำส้มที่ได้ไปคั้นเป็นน้ำส้ม แล้วแช่ตู้เย็นไว้ เมื่อกระหาย จึงนำมาดื่ม...

" แหมม..น้ำส้มนี้ชื่นใจดีจริง "



- ส้มผลที่สี่

อยู่ กับร้านขายของชำ เจ้าของร้านขายของชำก็นำส้มผลนี้ ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะเกลือนิด

เติมน้ำตาลหน่อย ปรุงได้ที่แล้วก็นำไปใส่แก้ว แช่ไว้ในตู้แช่ เมื่อมีคนเดินผ่านมาเปิดตู้แช่

แล้วหยิบน้ำส้มแก้วนั้นมาทาน เมื่อทานเสร็จ ก็นำแก้วเปล่านั้นวางไว้ที่ตู้แช่....." เท่าไหร่ครับ " ..........." 10 บาท ครับ "



- ส้มผลที่ห้า

อยู่ กับพ่อค้าน้ำผลไม้ พ่อค้าน้ำผลไม้ก็นำส้มผลนี้ ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะเกลือนิด เติมน้ำตาลหน่อย

ปรุงได้ที่แล้วก็นำไปใส่ขวดพลาสติก แช่ไว้ในตู้น้ำแข็งบนรถเข็น แล้วเดินเข็นจำหน่ายไปเรื่อยๆ

มีคนหนึ่งเดินสวนมา เรียกให้หยุด เสร็จแล้วก็เปิดตู้น้ำแข็ง ก็ชี้เอาน้ำส้มขวดนั้น คนขายหยิบน้ำส้มขวดนั้น

เปิดหยิบหลอดพลาสติกเสียบให้ หนึ่งหลอดแล้วส่งให้คนๆนั้น... " เท่าไหร่ครับ " ......" 20 บาท ครับ "

และคนๆ นั้นก็ถือขวดพลาสติกบรรจุน้ำส้มนั้นเดินจากไป




- ส้มผลที่หก

อยู่ กับร้านอาหารแห่งหนึ่งบนห้างสรรพสินค้าชั้นนำย่านลาดพร้าว เจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ก็นำส้มผลนี้

ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะเกลือนิด เติมน้ำตาลหน่อย ปรุงได้ที่แล้วก็นำไปใส่แก้วแล้วแช่ไว้ในตู้เย็น วันนั้น

มีหนุ่มสาว คู่หนึ่งเดินเข้ามา เจ้าของร้านจึงเชื้อเชิญและหาที่นั่งให้ ฝ่ายหญิง...." น้ำส้มแก้วหนึ่ง ค่ะ "

ฝ่ายชาย..." กาแฟ ร้อน ครับ "



เจ้าของร้านจึงนำน้ำส้มที่คั้นไว้นำมาใส่แก้วใบใหม่ แก้วใบนี้มีลักษณะทรงสูง รอบๆ แก้ว มีรูปหัวใจ

ดวงเล็กๆ น่ารัก สีแดงติดอยู่ ภายในแก้วใบนั้นมีหลอดพลาสติกเสียบอยู่ ตรงปลายหลอดนั้นงอได้

แต่เจ้าของร้านไม่ได้มา เสริฟเองแต่มีเด็กเสริฟใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาว กระโปรงสีดำมาเสริฟแทน



เมื่อทานเสร็จ..........เช็คบิล.............. น้ำส้มแก้วนี้ 50 บาท





- ส้มผลที่เจ็ด

อยู่ กับภัตตาคารแห่งหนึ่งแถวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ครั้งนี้ส้มผลนี้ถูกปรุงแต่งโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง

ของร้าน น้ำส้มคั้นที่ได้นั้นถูกปรุงแต่งและเก็บรักษาไว้ในตู้แช่อย่างดี และในวันนั้น

มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้าภัตตาคารนั้นมา และมีความประสงค์ที่จะลงเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา

เพื่อชมทิวทัศน์ในยามค่ำคืนด้วย ในจำนวนรายการที่สั่งนั้น



ฝ่ายหญิง...." น้ำส้มคั้นแก้วหนึ่ง ค่ะ " และ แล้ว...น้ำส้มคั้นแก้วที่วางอยู่ตรงหน้าหญิงสาวผู้นั้น

ถูกเสริฟโดย บริกรในชุดประจำร้านที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านนั้น แก้วที่ใช้เป็นทรงสูงมีก้านสำหรับ

จับหลอดเป็นหลอดพลาสติก ใสตรงปลายหลอดงอได้ สิ่งที่โดดเด่นนั้นอยู่ตรงที่บริเวณขอบปากแก้วนั้น

มีส้มที่ถูกฝานเป็นวงกลมเสียบอยู่ เมื่อเรือจะเข้าเทียบฝั่ง......สิ่งที่ปรากฎในบิลนั้น....100 บาท

เป็นราคาของน้ำส้มแก้ว นี้





- ส้มผลที่แปด

อยู่ กับคลับเฮาซ์สุดหรูย่านปทุมธานี และเช่นเดียวกัน ส้มผลนี้ไว้ถูกทำเป็นน้ำส้มคั้นเหมือนกัน

ถูกปรุงแต่งโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง น้ำส้มคั้นที่ได้นั้นถูกปรุงแต่งและเก็บรักษาไว้ในตู้แช่อย่างดีเช่นเดียวกัน

ในค่ำคืนนั้นมีงานราตรีของกลุ่มสาวไฮโซกลุ่มหนึ่ง และหนึ่งในนั้นก็สั่ง...



" น้ำส้มคั้น หนึ่ง "..... น้ำ ส้มคั้นแก้วนี้ ถูกเสริฟโดยบริกรหนุ่ม หน้าตาคมสันคนหนึ่ง มาในชุดทักซิโด

ที่ตัดด้วยผ้ามูนอย่างดี สิ่งที่อยู่บนฝ่ามือ ของบริกรหนุ่มคนนั้น คือถาดสีเงิน บนถาดนั้นมีแก้วน้ำส้มคั้นตั้งอยู่

แก้วที่บรรจุน้ำส้มคั้นใบนี้ เป็นแก้วคริสตัล ทรงสูงเจียรนัยอย่างดี เป็นแก้วที่สั่งทำเป็นพิเศษตรงขอบปากแก้ว

มีส้มกลีบหนึ่งที่ถูกแกะสลักเป็น รูปนกตัวหนึ่งเกาะ(เสียบ)อยู่ที่ปากแก้วนั้น หลอดที่ใช้เป็นหลอดแก้วใส

บนถาดใบนั้นที่มาพร้อมแก้วคริสตัล มีสลิปบัตรสมาชิกคลับเฮาซ์แนบมาด้วย.... 300 บาท ...

ก่อนที่หญิงผู้นั้นจะจดปากกาเซ็นลงไป





- ส้มผลที่เก้า

อยู่ กับโรงแรมแห่งหนึ่งย่านริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และเช่นเดียวกัน ส้มผลนี้ไว้ถูกทำเป็นน้ำส้มคั้นเหมือนกัน

ถูกปรุงแต่งโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง น้ำส้มคั้นที่ได้นั้นถูกปรุงแต่งและเก็บรักษาไว้ในตู้แช่อย่างดี ค่ำคืนนี้

ห้องอาหารชั้น Sky Top มีโอกาสต้อนรับ หนุ่มสาวชาวต่างประเทศ คู่หนึ่ง ที่ เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่

ดินเนอร์ เนื่องในโอกาสฉลองสมรส และเลือกเมืองไทยเป็นที่ฮันนีมูน เมื่อหาที่นั่งในห้องอาหารแห่งนี้

ได้แล้ว ณ. มุมมองตรงนั้น สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเกาะรัตนโกสินทร์ อย่างชัดเจน

ตลอดจนสายน้ำที่ทอดยาวของลำน้ำเจ้าพระยา เมื่อทอดสายตามองยาวออกไป จะมองเห็นสะพานแขวน

ที่ถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟอย่างสวยงาม หลังจากพักผ่อนอิริยาบท สักพักหนึ่งแล้ว



ฝ่ายหญิงจึงกล่าวกับบริกรว่า.." Orangeade "... และฝ่ายชายว่า..." American Expresso "...

สัก พักบริกรที่อยู่ในชุดไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นท่านนั้นกลับมา พร้อมกับกาแฟร้อนและ

น้ำส้มคั้นแก้วหนึ่ง แก้วนั้น เป็นแก้วคริสตัลอย่างดี ตรงฐานแก้วและขอบปากแก้วเคลือบด้วยทอง 18 เค

ถัดจากฐานรองแก้วตรงขอบที่เคลือบทองขึ้นมา และถัดจากขอบที่เคลือบทองที่ปากแก้วลงมาถูกเจียรนัย

ตกแต่งอย่างดี เมื่อแสงไฟตกกระทบถูกแก้วเจียรนัยใบนี้ จะเป็นประกายแวววับ ยิ่งภายในใช้บรรจุน้ำส้มคั้น

ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ตรงกลางของแก้วใบนี้ มีตราสัญลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ติดอยู่

เป็นเคลือบทอง 18 เค เช่นเดียวกัน หลอดที่ใช้เป็นหลอดแก้วใส ตรงปลายได้ขดเป็นเกลียว

ตรงขอบปากแก้วมีดอกกล้วยไม้ที่มีชื่อว่า " ช้างเผือก " เสียบอยู่



เมื่อแสงไฟที่เป็นหลอด Black Light ส่อง มากระทบกับ ช้างเผือก ดอกนี้ จะเกิดเป็นสีขาวเรืองๆ ขึ้นมา

อย่างสวยงาม บริกรโค้งคำนับก่อนที่จะเสริฟ และ โค้งคำนับเมื่อเสริฟเสร็จแล้ว หลังจากที่หนุ่มสาวคู่นี้

ดื่มด่ำกับบรรยากาศในค่ำคืนนี้ พอสมควรแล้ว ฝ่ายชายจึงกล่าวกับบริกรขึ้นว่า.. " Cash Please "

บริกรโค้งคำนับ ก่อนที่จะเดินไปที่แคชเชียร์ Ticket ที่ออกมา .... Orangeade 500 Baht ......





ส้มเหมือนกัน ราคาโดยเฉลี่ยแล้วผลละ 5 บาท เหมือนกัน อาจจะเป็นพันธุ์เดียวกัน ต้นเดียวกัน

อยู่กิ่งก้านเดียวกัน หรือ อาจจะอยู่ช่อเดียวกันด้วยซ้ำไป แต่ทำไมมูลค่าของส้มถึงต่างกันมากมาย

หรือว่าเป็นเพราะเวลาและสถานที่ต่างกัน ..ช่วงเวลาและสถานการณ์, สถานที่ ที่ต่างกันนั่นแหละ

เป็นตัวกำหนดมูลค่าของส้ม .........และ...........ของตัวคุณเอง..!!!!







บ่อยครั้งที่เราเคยท้อแท้กับ....งาน, ตกงาน, คนรอบข้าง, ครอบครัว, หรือ แม้กระทั่ง กับ ตัวเราเอง แต่อยากจะบอกว่า...ขอให้อดทนเพราะช่วงเวลานี้...มันไม่ใช่ของเรา ส้มนั้นถูกคนเป็นผู้กำหนดจนทำให้มีมูลค่าแบบนั้น แล้วทำไมเราถูกไม่กำหนดมูลค่าของตัวเรา ขึ้นมาบ้างหละ ณ วันนี้เราอาจจะมีมูลค่าไม่ถึงครึ่งของส้มที่ขอทานกินแล้วโยนทิ้งไป แต่เชื่อแน่ว่า หากเราได้ตัดสินใจแล้วว่า ทางเดินเส้นนี้เราได้ตัดสินใจเลือกที่จะเดินแล้ว จงตั้งมั่นและก้าวต่อไป อดทนเพื่อรอเวลาของเรา



ไม่แน่นะว่า.....มูลค่าของเราอาจจะมากมายเกินกว่า ที่เราจะคาดคิดก็เป็นไปได้...............ใครจะไปรู้หละ..







เครดิต : FW Mail

สุภาษิตสอนนาย

ภาษิตของเก่าท่านเล่าขาน มาแต่ครั้งโบราณมีมากหลาย



เป็นคำกลอนสอนสั่งทั้งหญิงชาย "สุภาษิตสอนนาย" ไม่เห็นมี


แม้โชคช่วยอำนวยเป็นนายเขา อย่าเป็นคนหูเบาไม่ถ้วนถี่


จับเอาความข้างเดียวเที่ยวพาที ให้พิจารณาความดีที่ผลงาน


นายที่ดีต้องเอาใจใส่ลูกน้อง คอยสอดส่องทุกข์สุขอยู่ทุกด้าน


คอยช่วยเหลือลูกน้องถ้าต้องการ แต่ไม่ถึงกับจุ้นจ้านจนเกินควร


แม้ลูกน้องทำผิดไม่คิดข่ม พิจารณาเหมาะสมโดยทั่วถ้วน


จงพูดจาว่ากล่าวอย่างนิ่มนวล ไม่ลามรวนเรื่องเก่าให้เนานาน


อันการเตือนนั้นเล่าต้องเข้าท่า ไม่ดุด่าต่อหน้าคนทั่วบ้าน


เรียกไปเตือนสองต่อสองห้องทำงาน เที่ยวโจษขานลับหลังฟังไม่งาม


งานสำเร็จลงก็ด้วยเข้าช่วยกัน ไม่ควรดื้อถือรั้นฟังไม่ห้าม


เป็นนายเขาเอาแต่ใจใครก็ตาม ควรฟังความเห็นอื่นบ้างเป็นทางดี


อันการงานทั้งหลายควรจ่ายแจก มีการจัดแบ่งแยกเป็นหน้าที่


หากคนเดียวจะรวบไว้ไม่เข้าที ลูกน้องหรือจะมีกำลังใจ


เป็นนายเขาต้องขยันหมั่นศึกษา ดูให้เป็นก้าวหน้าทันสมัย


ไม่ล้าหลังห่างเหินจนเกินไป ลูกน้องก้าวหน้าไกลตามไม่ทัน


ไม่จำเป็นต้องศึกษามากกว่าเขา ให้รู้หลักพอเป็นเค้าเขาเชื่อมั่น

แม้เป็นนายรู้จักใช้สบายครัน ไม่จำเป็นต้องฟาดฟันอยู่คนเดียว


เมื่อลูกน้องก้าวหน้าก็อย่าขวาง หรือคิดหาลู่ทางคอยหน่วงเหนี่ยว


ทำทีท่าบึ้งตึงขมึงเกลียว เข้าขับเขี้ยวกันท่าไม่น่ายล


เมื่อมีส่วนร่วมแบ่งไม่แย้งก่อน ลูกน้องต่างเดือดร้อนอยู่ทุกหน


ไม่คิดแต่จะเอาเข้ากระเป๋าตน คิดถึงคนอื่นเขาจึงเข้าการ


อันหัวหน้าที่ดีมีเมตตา ปรารถนาให้เขาสุขทุกสถาน


กรุณาเติมต่อพอประมาณ ให้เขาผ่านพ้นทุกสุขฤทัย


ประกอบกับมุทิตาคือพาชื่น เห็นคนอื่นก้าวหน้าพาสดใส


ไม่ควรคิดอิจฉาอยู่ในใจ เขาทำได้ดีกว่าน่าจะชม


อีกทั้งอุเบกขาไม่อาฆาต เห็นลูกน้องผิดพลาดไม่ทับถม


คอยจับผิดคิดว่าตามอารมณ์ ไม่เหมาะสมเที่ยวว่าด่าประจาน


หัวหน้าดีนั้นให้เห็นเป็นตัวอย่าง ช่วยเขาทำทุกอย่างจนรอบด้าน


ไม่เอาเปรียบใช้คนอื่นตัวชื่นบาน แล้วเสนอผลงานเพื่อตนเอง


เมื่อปัญหาเกี่ยวไปถึงภายนอก ตัวหัวหน้าต้องออกถึงจะเก่ง


เข้ารับผิดชอบด้วยช่วยบรรเลง ลูกน้องเกรงว่าเรานั้นเอางาน


แม้หัวหน้าคนใดได้เช่นนี้ คงจะมีคนรักสมัครสมาน


มีคนขอเป็นลูกน้องเกินต้องการ ใครพบพานก็เป็นบุญเกื้อหนุนเอย

21 สิงหาคม 2552

อย่าถามว่าเพราะอะไร? '' ถึงห่างกัน ''

พอดีมีคนส่ง Fw: เมลล์มาให้อ่าน จริงๆ ก็เคยอ่านหลายครั้งแล้วแหละ แต่คราวนี้อ่านแล้ว .. รู้ได้เลยว่าจริงๆ มันเป็นยังไง

" เ พ ร า ะ รั ก ใ น แ บ บ ข อ ง ใ ค ร ก็ เ ป็ น แ บ บ ข อ ง มั น ไ ม่ มี แ บ บ แ ผ น ต า ย ตั ว "
อ ย่ า ฝื น ใ จ รั ก ถ้ า มั น ไ ม่ ใ ช่
ไ ม่ มี ป ร ะ โ ย ช น์ อ ะ ไ ร ที่ จ ะ ค บ ใ ค ร สั ก ค น
เ พี ย ง เ พ ร า ะ อ ย า ก จ ะ มี ใ ค ร สั ก ค น
อ ย่ า เ ป ลี่ ย น ตั ว เ อ ง เ พี ย ง เ พื่ อ ใ ห้ เ ข า ม า รั ก
เ พ ร า ะ จ ะ ทำ ไ ด้ ไ ม่ น า น
วั น ห นึ่ ง คุ ณ จ ะ รู้ สึ ก เ ห นื่ อ ย
เ พ ร า ะ ค ว า ม รั ก ที่ ไ ม่ เ ป็ น ตั ว ข อ ง ตั ว เ อ ง
อ ย่ า ห ล ง ใ น ร ส ช า ติ ข อ ง ค ว า ม รั ก
จ น ลื ม ชี วิ ต ป ร ะ จำ วั น ข อ ง ตั ว เ อ ง
ห รื อ สู ญ เ สี ย ค ว า ม เ ป็ น ส่ ว น ตั ว ค น ที่ พ ร้ อ ม จ ะ อ ยู่ กั บ คุ ณ
โ ด ย ที่ คุ ณ ไ ม่ ต้ อ ง เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง อ ะ ไ ร ใ น ชี วิ ต เ ล ย
ค น ที่ พ ร้ อ ม จ ะ เ ดิ น ห น้ า เ มื่ อ คุ ณ เ ดิ น ห น้ า
ค น ที่ พ ร้ อ ม จ ะ ถ อ ย ห ลั ง ไ ป กั บ คุ ณ
ค น ที่ ไ ม่ ย อ ม ใ ห้ คุ ณ เ ดิ น ต า ม ห ลั ง
ข อ เ พี ย ง เ ดิ น เ คี ย ง ข้ า ง กั น
ค น ที่ ไ ม่ บั ง คั บ ใ ห้ คุ ณ ทำ อ ะ ไ ร ใ น แ บ บ ที่ คุ ณ ไ ม่ ช อ บ
ค น ที่ ไ ว้ ใ จ แ ล ะ ใ ห้ อ ภั ย ใ ห้ โ อ ก า ส
ซื่ อ สั ต ย์ แ ล ะ ใ ห้ เ กี ย ร ติ คุ ณ . . . . . นั่ น แ ห ล่ ะ คื อ ค น ที่ รั ก คุ ณ จ ริ ง . . . . .
จ ง ถ น อ ม ค น เ ห ล่ า นี้ ไ ว้ อ ย่ า ป ล่ อ ย ใ ห้ เ ข า ไ ป จ า ก คุ ณ
ค น ที่ รั ก ค น ที่ เ ป ลื อ ก น อ ก มี อ ยู่ เ ย อ ะ เ ห ลื อ เ กิ น
ชี วิ ต ค น ค น ห นึ่ ง จ ะ มี ค น ที่ รั ก คุ ณ จ ริ ง ผ่ า น ม า สั ก กี่ ค น
ใ ค ร ที่ บ อ ก ว่ า รั ก คุ ณ แ ล้ ว พ ย า ย า ม จ ะ เ ป ลี่ ย น คุ ณ
ดึ ง คุ ณ ใ ห้ เ ดิ น ต า ม ท า ง ข อ ง เ ข า
เ ข า ไ ม่ ไ ด้ รั ก คุ ณ จ ริ ง ห ร อ ก . . . เ ข า รั ก ตั ว เ อ ง
จ ง เ ชื่ อ ใ น พ ร ห ม ลิ ขิ ต
จ ง เ ชื่ อ ใ น เ ห ตุ ก า ร ณ์ ที่ นำ พ า ค ว า ม รั ก ม า ใ ห้
อ ย่ า ป ล่ อ ย ใ ห้ สิ่ ง ที่ ดี ที่ สุ ด สำ ห รั บ เ ร า ห ลุ ด ล อ ย ไ ป
ค ว า ม รั ก ต้ อ ง ม า จ า ก ค ว า ม รู้ สึ ก ข อ ง ค น ส อ ง ค น..
ค ว า ม รั ก เ ป็ น เ พี ย ง ส า ย ใ ย บ า ง ๆ
ที่ มั น ถู ก ห ล่ อ ห ล อ ม ขึ้ น จ า ก ค ว า ม รู้ สึ ก ต่ า ง ๆ
ค ว า ม อ ด ท น จ ะ ทำ ใ ห้ อุ ป ส ร ร ค ต่ า ง ๆ ผ่ า น พ้ น ไ ป ไ ด้ ด้ ว ย ดี
ค ว า ม พ ย า ย า ม จ ะ ทำ ใ ห้ เ ร า ส อง ค น ยั ง ค ง อ ยู่
ค ว า ม ไ ว้ ใ จ จ ะ ทำ ใ ห้ ค ว า ม รั ก ข อ ง เ ร า แ ข็ ง แ ก ร่ ง
ค ว า ม ซื่ อ สั ต ย์ จ ะ ทำ ใ ห้ ค ว า ม รั ก ข อ ง เ ร า มั่ น ค ง
ค ว า ม เ ส ม อ ต้ น เ ส ม อ ป ล า ย จ ะ ทำ ใ ห้ ค ว า ม รั ก ข อ ง เ ร า ส ว ย ง า ม
แ ล ะ สุ ด ท้ า ย ค ว า ม รั ก ก็ จ ะ ก่ อ ตั ว ขึ้ น เ ป็ น ค ว า ม ผู ก พั น
สิ่ ง เ ห ล่ า นี้ จ ะ ทำ ใ ห้ ส า ย ใ ย บ า ง ๆ ข อ ง ค ว า ม รั ก
ก ล า ย เ ป็ น เ ชื อ ก เ ส้ น ห น า ที่ ผู ก ค น ส อ ง ค น ไ ว้ ด้ ว ย กั น
เ ป็ น เ ชื อ ก ที่ ไ ม่ ทำ ใ ห้ เ ร า อึ ด อั ด
เ มื่ อ เ ว ล า ไ ม่ ส า ม า ร ถ ย้ อ น เ ดิ น ก ลั บ ไ ป ไ ด้ อี ก
จ ง ทำ ปั จ จุ บั น ใ ห้ ดี ที่ สุ ด
เ พ ร า ะ อ ดี ต แ ก้ ไ ข อ ะ ไ ร ไ ม่ ไ ด้ อี ก แ ล้ ว
อ ย่ า ทิ้ ง หั ว ใ จ ข อ ง คุ ณ ไ ว้ กั บ อ ดี ต
อ ย่ า คิ ด ว่ า ไ ม่ มี พ รุ่ ง นี้
อ ย่ า ลื ม บ ท เ รี ย น ข อ ง เ มื่ อ ว า น
ทุ ก ชี วิ ต ยั ง มี ค ว า ม ห วั ง อ ยู่ เ ส ม อ
จ ง ป ล่ อ ย ใ ห้ ชี วิ ต ดำ เ นิ น ต่ อ ไ ป . . .



คุณจะอยู่กับใคร?

ชายคนหนึ่งรักผู้หญิงสองคนพร้อมๆกันและไม่รู้ว่ารักใครมากกว่ากัน?มีคนสอนว่าเมื่อคุณมีเรื่องสุขใจใครกันเล่าเป็นคนแรก
ที่คุณคิดจะบอก?คนที่คุณคิดถึงก่อนคนแรกแท้จริงคือคนที่คุณรักมากกว่า(หน่อย)ไม่..นี่ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะพิสูจน์ความรัก
เวลาที่คุณมีเรื่องทุกข์ใจ ใครกันเล่าที่คุณคิดถึงก่อน?คนที่คุณคิดถึงก่อนนั่นแหละคือคนที่คุณรักมากกว่าหากคนที่คุณคิดถึงก่อนทั้ง
เวลาสุขและทุกข์คือคนๆเดียวกัน นั่นคือสิ่งที่วิเศษสุด
แต่หากว่าเป็นคนละคนกัน เราแนะนำให้คุณเลือกคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณเวลาคุณมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ
ชีวิตคนเราทุกข์มากกว่าสุข เวลาคุณมีความสุขมีคนมากมายที่พร้อมจะแบ่งปันความสุขกับคุณ ไม่เพียงแต่เฉพาะแฟนสุดที่รัก
แม้กระทั่งเวลามีความสุขคุณยังสามารถอยู่ตัวคนเดียวได้แต่ไม่ใช่จะทุกคนที่พร้อมจะแบ่งปันความทุกข์ของคุณ
คุณพร้อมแบ่งปันความทุกข์ด้วยแท้จริงคือคนที่คุณต้องการมากที่สุดและอยากอยู่ใกล้ชิดมากที่สุด
ในทางกลับกันคนที่คิดถึงคุณเวลามีความสุขและไปหาผู้อื่นเวลามีความทุกข์เป็นคู่รักที่ไม่มั่นคงเอาเสียเลย
เพราะเขาคนนั้นไม่คิดจะให้คุณเป็นคู่รักที่อยู่ร่วมทุกข์สุขด้วยตลอดชีวิต
เราคงดีใจถ้าหากคนที่เรารักคิดถึงเราก่อนในเวลาที่เขามีความสุข แต่ถ้าอยากอยู่ใกล้ชิดเราเวลาที่เขามีความทุกข์เศร้า
พร้อมให้เราเห็นตัวเขาในสภาพที่เขาอ่อนแอทุกข์ร้อนเราเชื่อว่าเราต้องมีความสำคัญมากๆในสายตาของเขา
.............
ในเวลาที่คุณมีความทุกข์เศร้า คุณคิดแบ่งปันกับใคร?
.............


เจ้าของบทความ : จางเสี่ยวเสียน

มือกับตีน

มือกับตีนอยู่กันมาตลอดชาติ
ไม่เคยขาดสามัคคีมีเกื้อหนุน
ตีนพาตัวเดินไปได้ค้ำจุน
ไม่เคยวุ่นสองขาพากันเดิน
หน้าที่มือคือจับต้องของต่างๆ
เป็นตัวอย่างที่ดีน่าสรรเสริญ
มือเคารพนบไหว้ใช้เชื้อเชิญ
เรื่องเพลิดเพลินปรบมือคือน้ำใจ
มาวันหนึ่งมือถือว่ากูแน่
มือช่วยแก้ปัญหาต่างๆได้
ไม่มีมือมีหรือจะถูกใจ
มีมือใช้ชี้เจ้าเท้าต้องเดินตีน
โมโหโกรธาว่ามือชั่ว
อย่ามามั่วยกตัวน่าสรรเสริญ
ไม่มีตีนเดินไปให้เพลิดเพลิน
ที่เจริญก้าวหน้าได้ไม่ใช่มือ
ไม่มีตีนจะกินอยู่ได้ไฉน
ใช้อะไรเดินแทนเท้าจะได้หรือ
ตอนที่เกิดอันตรายไม่ใช่มือ
ตีนนี้คือคอยวิ่งชิ่งหนีภัย
มือกับตีนถกเถียงกันวันยังค่ำ
ต่างตอกย้ำให้ดูความยิ่งใหญ่
มือโมโหตบตีนแล้วด่าว่าจัญไร
ตีนเจ็บใจด่ามือคือตัวเลว
ตีนเตะมือไม่ถึงมือยกหนี
โกรธเต็มที่วิ่งไปที่ปากเหว
โดดลงไปตะโกนด่าว่ามือเลว
ต่างแหลกเหลวทั้งมือตีนสิ้นชีวา
ทั้ง "มือตบ" และ "เท้าตบ" ต้องขบคิด
ความเป็นมิตรที่ดีสร้างทีท่า
ทุกฝ่ายต่างมีส่วนล้วนนำพา
ให้ชาติไทยก้าวหน้าสถาวร
fm

ให้อภัยเหมือนล้างใจให้สะอาด

การให้อภัยจะช่วยให้สามารถยุติปัญหาต่างๆ ได้ เปรียบเสมือนคนล้างแก้วน้ำให้สะอาด ทำให้เหมาะสมที่จะรองรับน้ำบริสุทธิ์ที่เทลงไปใหม่ เหมือนการโยนของที่ไม่ชอบทิ้งเสียโดยไม่ต้องเสียดาย การให้อภัยคือการแสดงกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อภัยทานเวลาจะให้ไม่ต้องไปขอใคร ไม่เหมือนใครมาขอเงินเรา ที่ต้องควักกระเป๋าให้ แต่การให้อภัยไม่ต้องหาจากไหนและไม่รู้สึกว่าเป็นการสูญเสีย ขอให้ภูมิใจเมื่อมีใครมาขอโทษ เมื่อมีใครให้อภัยเราหรือเมื่อสำนึกได้ว่าได้ทำอะไรผิดพลาดไปก็ขอโทษกัน การขอโทษหรือการให้อภัย มิใช่การเสียหน้าหรือเสียรู้ มิใช่การได้เปรียบเสียเปรียบแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชำระใจให้สะอาด เหมือนภาชนะสกปรกก็ชำระล้างให้สะอาด ใครจะคิดอย่างไรมิใช่ประเด็น แต่สำหรับผู้แสดงออกว่าเราให้อภัยในเรื่องนี้ต่อบุคคลผู้นี้แล้ว นั่นเป็นสิ่งสำคัญเพราะสิ่งนั้นจะถูกบรรจุลงไปในจิตของเรานั่นเอง การผูกอาฆาต ความพยาบาท ความอิจฉา โกรธ เกลียด ความคิดแก้แค้น ทิฐิมานะนั้น เป็นเสมือนเชื้อไวรัส อภัยทานคือเครื่องมือแอนตี้ไวรัส ส่วนจิตของเราเหมือนคอมพิวเตอร์ ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้อาจจะดูเหมือนยาว แต่มีใครบอกได้ว่าจะอยู่ได้ปลอดภัยถึงวันไหน เราต้องการความทรงจำที่เลวร้าย หรือต้องการความทรงจำที่ดีในชีวิต ต้องการนั่งนอนอย่างมีความสุข มีชีวิตอยู่ด้วยความอิ่มเอิบหรือต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยการถอนหายใจ ด้วยความทุกข์และกังวลใจ สิ่งเหล่านี้กำหนดได้ที่ตัวเอง ฝึกใจให้คิดแต่เรื่องดีๆ ความคิดเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก สุขหรือทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่วิธีคิด คิดเป็นก็พ้นทุกข์ คิดไม่เป็นแม้แต่เรื่องมิใช่เรื่อง ก็อาจเกิดเรื่องได้ คนเราอยู่ไม่ถึง 100 ปี ทำไมจะเสียเวลามาครุ่นคิดเรื่องไร้สาระ ทำไมจะต้องเสียเวลามาทำเรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์ การยอมกันเสียบ้าง ก็เป็นความสุขได้ไม่ยาก เวลาที่โกรธ เกลียด พยาบาทใคร สีหน้าของเราจะเปลี่ยนไปหน้าจะเครียดแดงก่ำ เลือดสูบฉีดเร็ว หัวใจเต้นแรง มือไม้สั่น เวลาโกรธจัดจิตที่ถูกครอบงำโดยอารมณ์ร้าย คือ ความหนักใจ เหนื่อยหอบ ทำอะไรก็เป็นทุกข์ไม่มีความสุข แต่พอได้ยกโทษให้ใครเมื่อหายโกรธเหมือนยกภูเขาออกจากใจ จะรู้สึกทันทีว่ายิ้มได้ มีความสบายใจโล่งโปร่งสบาย คิดแต่เรื่องดีๆ จิตใจก็เบิกบานอิ่มเอิบ ที่สำคัญช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ผ่องใส เราอาจคิดว่าการให้อภัยบ่อยๆ แก่คนบางคน เขาอาจจะไม่ปรับตัว ยังก่อเหตุอยู่เสมอๆ งานก็ไม่สำเร็จ ยังเหลวไหลอยู่เหมือนเดิม นั่นอาจเป็นเหตุผลในการทำงาน แต่สำหรับเหตุผลของใจนั่น เมื่อให้อภัยใจเราก็เบา เพราะหมดห่วง หมดทุกข์ หมดสนิมที่จะมากัดใจให้ผุกร่อน วิธีคิดมีความสำคัญมากสำหรับชีวิตของคน เรามักได้ยินเสมอว่า แพ้หรือชนะอยู่ที่กำลังใจ แท้จริงแล้วคำว่ากำลังใจก็คือวิธีคิดนั่นเอง พลังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์คือการที่ใจมีกำลัง และเป็นกำลังจากความคิดที่ดี มนุษย์จึงต้องสร้างกำลังใจให้แก่กันและกัน กำลังใจเป็นสิ่งที่ให้ไม่รู้จักหมด ยิ่งให้คนอื่นได้มากเท่าไร กำลังใจก็จะยิ่งเกิดขึ้นแก่เรามากเท่านั้น เหมือนวิชาความรู้ ยิ่งให้ยิ่งพอกพูน ยิ่งหวงไว้เฉพาะตัวก็ยิ่งหดหาย การให้อภัยแม้ยากแต่หากพยายามทำบ่อยๆ ให้กลายเป็นนิสัย จะเป็นความสุขใจในภายหลังเมื่อย้อนนึกถึง ด้วยเหตุนี้จึงต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดให้ได้ ไม่ให้ใจเป็นถังขยะแต่ให้ใจเป็นหิ้งบูชาพระที่งดงามทุกวัน ด้วยการมองแต่เรื่องดีๆ ของคนให้พบ มองบวกคิดบวกพูดบวก เพราะการทำอะไรเป็นบวกจะทำให้ได้กำไรใจสบาย ศัตรูก็ควรให้อภัย เคยไหมบางคนไม่รู้จักกันมาก่อน แต่พอเห็นหน้าจะรู้สึกไม่ชอบทันที จะพูดจะทำอะไรดูเกะกะน่ารำคาญไปหมด แม้แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อเราก็เช่นเดียวกันนั่นเป็นเพราะอดีตเราไม่ยอมให้อภัยต่อกัน การที่ไม่ยอมให้อภัยเหมือนเราไม่ยอมล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย แม้จะไปที่ไหน สวมใส่เสื้อผ้าชนิดใด งามแค่ไหน ร่างกายของเราก็ยังคงสกปรกและตามไปทุกหนทุกแห่ง การให้อภัยเปรียบเหมือนการอาบน้ำชำระร่างกาย ท่านอาจลืมคิดไปว่าลูกหลานที่เกิดมาแล้วผลาญทรัพย์ทำลายชื่อเสียง ทำให้พ่อแม่เดือนร้อนนอนทุกข์นั้น แท้จริงก็คือศัตรูในชาติที่แล้วที่ไม่ได้อโหสิกรรมแก่กัน กรรมจึงติดตามกันมาเห็นผลถึงชาตินี้ บางทีคนที่เขาโกรธเราหากเราไม่โกรธตอบ ก็จะไม่เป็นการตอบรับกระแสกัน เหมือนโทรศัพท์ถึงกัน ถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดโทรศัพท์รับ ฝ่ายที่โทร.ถึงก็หมดสิทธิจะคุยกันเพราะกระแสไม่ถึงกัน การตอบรับซึ่งกันและกันหากเป็นความโกรธ ความแค้น สิ่งที่จะตามมาก็คือการรับรู้และเก็บอารมณ์ทั้งโกรธและเกลียดไว้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อรู้แล้วก็ควรสละอารมณ์นั้นด้วยตัวเราก่อน เพื่อป้องกันจิตมิให้เป็นทุกข์เพราะคนนั้นเป็นเหตุ คิดเสียว่าเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ไม่ไปยึดเป็นรักเป็นชัง ก็เมื่อแม้แต่รักพระท่านยังสอนให้ละทิ้ง เพื่อมิให้ยึดติด แล้วทำไมเราจะยังมองเห็นโกรธแค้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดมั่นอยู่ได้ ดังนั้น วิธีการแผ่เมตตาท่านจึงสอนไม่ให้คิดว่าเป็นคนที่รักหรือชัง หากแต่ให้คิดว่าเป็นสรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ร่วมโลกเดียวกันการคิดเช่นนี้เป็นการปรับอารมณ์ให้สมดุลไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แผ่เมตตาให้สัตว์ที่กินเป็นอาหาร เจ้ากรรมนายเวร คือ สัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นหมู เนื้อ ไก่ เป็ด ปลา กุ้ง หอย ต่างๆ นับตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันนับไม่ถ้วนกี่ร้อยกี่พันชนิด เนื้อหนังมังสาของเรา อวัยวะทุกส่วนล้วนแล้วแต่มีหุ้นส่วนของสัตว์น้อยใหญ่ทั้งสิ้น อย่าคิดว่าเป็นของเราคนเดียวแล้วไม่เคยแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ ที่เรากินเข้าไปทุกวันๆ ทั้งๆ ที่เขาสละชีวิตของเขาเพื่อต่อชีวิตเราให้ยาวออกไป หากเขารู้สึกน้อยใจที่ถูกเพิกเฉย ความน้อยใจของเขาบางครั้งทำให้เราเกิดโรคร้าย เช่น มะเร็ง บางคนป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หมอก็หาโรคไม่เจอ แต่พอแผ่เมตตากลับหายเรื่องเช่นนี้ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย การแผ่เมตตาให้เขา แท้จริงก็คือแผ่ให้ตัวเรานั่นเองการให้เขาคือการให้เรา เพราะเขาอยู่กับเราเขาคือร่างกายของเรา เขาสละชีวิตเลือดเนื้อมาเป็นพลังงานให้ชีวิตเรา การแผ่เมตตาทำได้ง่ายเพียงแต่ให้นึกถึงเขาเสมอๆ คิดถึงความดีของเขาที่ได้ส่งเสริมให้เรามีชีวิตอยู่ การแผ่เมตตาถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อหลายชีวิตที่ถูกปรุงเป็นอาหารอร่อยว างบนโต๊ะอาหารรอเรามาขบเคี้ยว ชีวิตเราถูกเลี้ยงโดยสัตว์อื่นการกินคือการต่ออายุ วันหนึ่งเราต่ออายุ 3 เวลา แต่ละเวลาเราต้องกินอาหารอื่นนับสิบชีวิต ขอให้เราฝึกให้อภัยทุกวัน ทำเหมือนที่เราแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ ขอให้เราทำทุกครั้ง ทำเหมือนกรวดน้ำหลังทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่ การให้อภัยแก่ใครนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย เป็นเรื่องธรรมดาๆ คือทำได้โดยไม่ต้องฝืนใจทำ เมื่อให้อภัยเสียแล้วใครๆ ที่ผูกอาฆาตพยาบาทเราไว้ แรงพยาบาทของเขาก็จะหมดโอกาสติดตามเรา เพราะกรรมนั้นหมดแรงส่ง เนื่องจากเราได้อโหสิเสียแล้ว ยุติสนิมในใจคือความพยาบาทอาฆาตให้หมดสิ้นไปจากใจของเราเสียแต่บัดนี้

ดินสอ ความรัก ต้นพลูด่าง

ดินสอ…ถ้าไม่เหลาเนื้อไม้ทิ้ง ก็ใช้เขียนไม่ได้ความรัก…ถ้าไม่ตัดบางอย่างออก ก็รักต่อไม่ได้ต้นพลูด่าง…ถ้าไม่เติมน้ำใส่ให้ทุกวัน ก็คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานความรัก…ถ้าไม่เติมบางอย่างให้กันบ่อยๆ ความรักก็คงไปจากเราในเร็วๆ นี้การตัดออก และ การเพิ่มเติมจึงเป็นสิ่งสำคัญในความรักที่สองคนจะต้องค้นหา ทำความเข้าใจ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน สำหรับคู่ที่ ‘เอาแต่ใจ’ ต่อกันมากไปก็ตัดคำว่า ‘แต่’ ออก แล้วเพิ่มคำว่า‘ใส่’ จาก ‘เอาแต่ใจ’ ก็จะกลายเป็น ‘เอาใจใส่’สำหรับคู่ที่หึงหวง ‘ไม่ไว้ใจ’ จนทำให้ทะเลาะกันเพราะคนอื่นอยู่เสมอแบบนี้ไม่ต้องเพิ่มเติมอะไรเลย แต่ต้องตัดคำว่า ‘ไม่’ ออกจะได้เหลือคำว่า ‘ไว้ใจ’สำหรับคู่ที่โกรธกันง่ายและหายยากทิฐิสูงพอกัน ไม่เคยยอมขอโทษอีกคนก่อนอย่าลืมว่าความรักนั้นก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ในชีวิตที่เราและเขาสามารถทำผิดพลาดได้ฉะนั้นกับคำว่า ‘ไม่ให้อภัย’ และ ‘ฉันไม่ขอโทษเธอ’ลองตัดคำว่า ‘ไม่’ ออก แล้วทุกอย่างจะง่ายขึ้นรักจะกลับมาทำให้เธอหัวใจสบายดีเหมือนเดิมเพราะต่อให้ผิดพลาดอย่างไรเธอและเขาก็จะมีแต่คำว่า ‘ให้อภัย’ และคำว่า ‘ฉันจะขอโทษเธอ’และสำหรับคู่ที่ชอบ ‘คาดหวัง’ ให้อีกคนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ต้องเพอร์เฟ็กต์ในการเป็นแฟน ต้องได้ดั่งใจทุกอย่างรู้ไหมว่า? รักที่ดีนั้น คือรักที่ไม่คาดหวังสิ่งใดจึงอยากให้ลองตัดคำว่า ‘คาด’ แล้วเพิ่มคำว่า ‘ดี’ ลงไปเพราะรักที่ดี ที่จะไม่มีวันเลิกรากันง่ายๆนั้นคือรักที่คนสองคน ‘หวังดี’ ต่อกันเสมอ ไม่เคยมีทฤษฎีตายตัว ว่าความรักต้องตัดออก และเพิ่มเติมในสิ่งใดบ้างสำหรับคู่ของเธอที่มีความสัมพันธ์ อาจอยู่นอกเหนือจากการยกตัวอย่างที่ผ่านมาแต่คงไม่ยากเกินไปหรอกใช่ไหม ที่เธอกับเขาจะเปิดใจคุยกันว่าควรตัดสิ่งใดและเพิ่มเติมสิ่งใดที่จะทำให้รักของเธอและเขา เป็นรักที่มีรสชาติหวานมากกว่าขม และเป็นเหมือนสายลมความสุขมากกว่าพายุพัดทำลาย

fm

ชาวนากับลาแก่

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาคน หนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว วันหนึ่งชาวนาได้พาเจ้าลาแก่ออกไปข้างนอกด้วยความโง่เขลาของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ่ง มันร้องครวญครางเป็นเวลาหลายเพลา ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้วอีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบ ไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อครั้งแรกเมื่อดินไปถูกหลังลามันตกใจและรู้ชะตากรรมของตนทันที มันร้องโหยหวนทันที สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป หลังจากที่ชาวนาตักดินใส่ไปในบ่อได้สัก สองสามพลั่วก็เหลือบมองลงไปในบ่อก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลามันจะสะบัดดินออกจากหลังแล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไรมันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจที่เจ้าลาในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ ชีวิตนี้อุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามาหาเราก็เปรียบเสมือนดินที่สาดเข้ามาหาเรา จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้จงแก้ไขมัน เพื่อที่เราจะได้เหยียบมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆเปรียบเสมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ฉันใดฉันนั้น”

ที่มาfm

ความศักดิ์สิทธิ์ของคำว่า[แม่]

ค่ำวันหนึ่ง ผมได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่ภัตตาคารใหญ่แห่งหนึ่งกลางเมืองคลีฟแลนด์ เมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว ก็คิดจะกลับบ้าน เพราะถึงเวลาควรกลับได้แล้ว ผมเดินมาคนเดียวที่ลานจอดรถ ที่เปิดไฟสว่างไสว มีรถจอดเต็มไปหมด เพื่อจะขับรถกลับบ้าน เมื่อเดินมาถึงรถ ก็ไขกุญแจเข้าไปในรถ ปรากฎว่ามีวัยรุ่น 3 คน ที่เดินตามมาห่างๆ โดยผมไม่เฉลียวใจว่า เขาจะมาดี หรือมาร้าย ปราดเข้าเอาปืนจี้ที่ศรีษะ และให้เข้าไปในรถ ผมตกใจ ไม่กล้าร้อง เขาให้ผมเข้าไปในรถ โดยนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ วัยรุ่นคนหนึ่งทำหน้าที่คนขับ อีกคนนั่งที่เบาะหลัง โดยมีคนหนึ่งคอยเอาปืนจี้ผมตลอดเวลา วัยรุ่นคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับ ก็สตาร์ทรถ และขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว เขาเปิดเพลงดัง มาก หัวเราะ พูดจากันเอะอะ โวยวาย สูบบุหรี่ควันโขมงไปหมด ผมอยู่ในภาวะที่เครียดมาก พอหมดภาวะนั้นแล้ว ก็เริ่มมีสติ จึงขอบุหรี่เขาสูบมวนหนึ่ง เพื่อทำ ตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ผมอัดบุหรี่เข้าไปเต็มที่ แล้วจึงเริ่มคุยกับเขา ผมแสดงความจริงใจ โดยบอกเขาว่า ผมเป็นนักเรียน ไม่มีเงินมากหรอก ถ้าจะเอาเงิน ผมก็จะ ให้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ แต่ขอกระเป๋าเอกสารเอาไว้เถิด ว่าแล้วเงินก็ให้เขาไปจนหมดผมขอให้เขาเบาเสียงเพลงลงหน่อย เพราะดังมาก เขาก็ไม่ยอม ผมเลยชวนคุยเรื่องว่า เขาคงมีแฟน ไม่ไปหาแฟนหรือ เขาก็ตอบแบบกระชากๆว่าไม่สนใจหรอก มีแฟนกี่คนก็ได้ ตอนนี้ก็มีกันทุกคน แต่ไม่สำคัญหรอก ผมก็ถามว่ามาเที่ยวดึกๆอย่างนี้พ่อไม่ว่าหรือ เหมือนนัดหมายกัน ทั้งสามคำรามใส่คำว่า พ่อ แถมพูดหยาบๆ และบอกว่าอย่าเอ่ยถึงพ่อได้ไหม พวกเขาเกลียดพ่อ ผมก็เลยเปลี่ยนมาคุยเรื่องแม่ ถามเขาว่าแม่รักเขาไหม เขามีทีท่าอ่อนลง บอกว่าแม่รักเขา และตีพวกเขา ผมได้ทีก็เลยชวนคุยเรื่องแม่ต่อไปอีก โดยบอกว่า เขาก็คงรักแม่เหมือนกับที่ผมรักแม่ และแม่ก็คงรักพวกเขาเหมือนกับที่แม่รักผม ผมมาอเมริกาเพื่อศึกษา แม่ก็เป็นห่วง และคิดถึง ถ้าแม่รู้ว่าผมตกอยู่ในภาวะอันตรายหรือ เป็นอะไรไป แม่คงจะโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก คงเหมือนกับแม่ของพวกเขาเหมือนกัน ถ้าหากรู้ว่ามีอันตรายเกิดกับลูก แม่คงแทบสูญสิ้นชีวิต พวกเขานั่งเงียบ และเบาเสียงวิทยุลง ผมเลยขอร้องเขาว่า อย่าทำอันตรายอะไรผมเลย ให้นึกถึงความรู้สึกของแม่ ซึ่งถ้าหากรู้ว่าลูกได้ รับอันตรายแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าหากเขาอยากได้รถก็เอาไปเถิด อยากได้เงินก็ให้เงินไปแล้ว แต่อย่าทำอันตรายผมเลย ผมได้ยินเสียงกริ๊กจากปืนที่คนนั่งข้างหลังจ้องอยู่ คงเป็นการปลดกระสุนปืนออก แล้วก็ยื่นปืนให้ผมพร้อมกับยื่นมือให้ผมจับ เขาบอกว่า จากวันนี้ไป เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ ผมก็จับมือเขา แล้วเราทุกคนก็หัวเราะพร้อมๆกันคนหนึ่งบอกว่าอยากดื่มเบียร์ เขาก็จอดรถ ซื้อเบียร์กระป๋อง มาดื่มกันในรถที่ขับไป สุดท้ายเขาจอดรถในที่ใกล้ๆ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง บอกเขาจะไปกันละนะ เขาไม่เอารถหรอก จะคืนรถให้ ขอให้ผมโชคดีในการเรียน จะได้กลับบ้านไปพบแม่ที่ผมรัก ซึ่งเขาก็รักแม่ของเขา และเขาก็จะไปหาแม่ของเขาเช่นกัน พอเขาลงจากรถ ผมก็ขับรถกลับบ้านที่พักด้วยความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ สิ้นปีนั้น ผมก็ย้ายเมืองไปอยู่นิวยอร์ก เมื่อจบการศึกษาด้านกุมารเวช และเริ่มเรียนทางด้านจิตเวชต่อไปอีก ประสบการณ์นี้ผมไม่เคยลืมเลือน คิดว่าตัวเองรอดชีวิต ไม่มีอันตรายมาได้ด้วยคำว่า "แม่" นี่เอง เรื่องนี้ก็ไม่เคยเล่าให้แม่ฟัง ปีนี้เป็นปีที่แม่ของผม (ทองอยู่ นาควัชระ) ได้รับเกียรติรับเลือกเป็นแม่ดีเด่นของชาติ แม่คงจะรู้เรื่องจากนิตยสารนี้แหละ จะได้รู้คำว่า "แม่" นั้นศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองชีวิตลูกได้ และอยากให้ลูกทุกๆคน รักแม่ ให้แม่รักลูก เพราะเป็นสายใยอันเดียวที่จะทำให้มนุษย์อุ่นใจ ปลอดภัย และเป็นมงคลกับชีวิต บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเทิดทูนบูชาพระคุณของ "แม่" ของคนทั้งโลกครับ

10 ปีที่ผ่านมาไม่เท่า1วันที่เหลืออยู่

10 ปีที่ผ่านมาไม่เท่า1วันที่เหลืออยู่ / โดย ทรายขาว /

ความทรงจำเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับคนบางคนโดยเฉพาะคนที่มีเวลาดีๆ ที่ใช้กับคนรักยิ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนหวงแหนต้องระลึกไว้ในความทรงจำ ต้องถนอมดูแลให้ดีหลายคนจึงไม่อาจตัดใจจากวันเก่าๆ ได้เสียทีเพราะว่ามีความสุขกับการได้คิดถึงอะไรดีๆที่ผ่านไปโดยลืมนึกไปว่าสิ่งที่ผ่านไปแล้วจะไม่มีวันย้อนกลับคืนมาได้อีกหากจะต้องตัดใจลืมหรือเดินจากอดีตมาก็ไม่ได้อีกเพราะเหตุผลที่ว่า "เสียดายเวลา" ที่คบกันมาบางคนคบกันมานานจนแทบจำไม่ได้ว่าเคยยิ้มให้กับความรักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เพราะหลังๆ มาก็อยู่แต่กับความทุกข์จนนึกภาพความสุขไม่ออกแต่ที่ไม่กล้าเลิกเพราะยังคิดถึงวันเก่าๆแค่เสียดายเวลาที่คบกันมาเนิ่นนานโดยไม่คิดเลยว่า ทุกๆวันของวันนี้ พรุ่งนี้และวันต่อๆไปก็จะกลายเป็นเพียงวันเก่าๆ ที่น่าเสียดายและ...เวลาที่น่าเสียดายก็จะเพิ่มขึ้นๆจริงๆ แล้ว วันคืนในอดีตไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับเราเลยนอกจากมีไว้ให้ นึ ก ถึ ง อาจจะทำให้เรายิ้มได้บ้าง แต่ทำให้เราคาดหวังไม่ได้เราจะไปหวังว่าวันหนึ่ง วันเหล่านั้นจะกลับาหรือจะไปเฝ้าฝันว่าความสุขเหล่านั้นยังคงเป็นปัจจุบันหรือหลอกตัวเองว่าตอนนี้ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิมจะยังไงก็แล้วแต่คือการหลอกตัวเองทั้งนั้นยอมรับเถอะว่าทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว และจบไปแล้วความทรงจำเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้นเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะ 1 ปี 5 ปี หรือกี่สิบปีก้อไม่ได้มีความหมายมากไปกว่า..หนึ่งวันข้างหน้าที่เราจะต้องมีชีวิตใหม่ที่เราจะต้องเริ่มต้นใหม่เมื่อคนเราต้องอยู่กับปัจจุบันเพื่อที่จะสร้างอนาคตให้ตัวเองได้อยู่ในอนาคตที่ดีเวลา 10 ปี กับวันคืนที่เคยหวานชื่นไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่า 1 วันแห่งการเริ่มต้น1 วันแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิตของเราทั้งชีวิตใ ห้ ดี ก ว่ า ที่ เ ป็ น " หากจะเสียดายเวลาน่ะ ไม่ต้องเสียดายเวลาที่คบกันมาหรอกให้เสียดายเวลาในวันข้างหน้าที่จะอดทนคบไปทั้งที่ไม่มีอะไรแล้วจะดีกว่าแล้วยังจะมาเสียดายอดีต..นึกดูดีๆ ว่าเสียดายอนาคต ดีกว่าไหม "ลองย้อนกลับไปดูตัวเองด้วยนะจ๊ะ

เข็มนาฬิกาและหน้าที่

ณ ห้องนั่งเล่นของบ้านหรูสไตล์ตะวันตกหลังหนึ่ง มีนาฬิกาเรือนงามเรือนหนึ่งประดับเด่นอยู่บนผนังของห้องนั่งเล่นนั้น เข็มนาฬิกาทั้งสามบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงามนี้ต่างภูมิใจในหน้าที่ของพวกตน ที่ได้บอกเวลาอย่างเที่ยงตรงแก่เจ้าของบ้านและผู้มาเยือนมาโดยตลอด วันหนึ่งเจ้าเข็มวินาทีสีแดงสดรูปร่างเพรียวบางรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับภาระหน้าที่ของตัวเอง ที่ต้องตรากตรำเดินอยู่บนหน้าปัดตลอดเวลาอย่างเหน็ดเหนื่อย ในขณะที่ในวันหนึ่ง ๆ เจ้าเข็มสั้นและเจ้าเข็มยาวไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไรเลย เจ้าเข็มวินาทีจึงรู้สึกว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างมาก จึงโวยวายออกไปว่า “ ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ พอทีเถอะ ข้าเหนื่อยเหลือเกินกับการทำหน้าที่ของข้า พวกเจ้าเอาเปรียบข้า ข้าไม่เคยได้พักอย่างพวกเจ้าบ้างเลย ข้าไม่อยากเดินอีกต่อไปแล้ว พอกันที ” เมื่อได้ฟังดังนั้น เจ้าเข็มสั้นจึงบอกกับเจ้าเข็มวินาทีไปด้วยเสียงอันแหลมเล็กว่า “ โอ๊ะ.........โอ!! โถๆๆๆ เจ้าเข็มวินาทีเอ๋ย เจ้าหาว่าพวกข้าเอาเปรียบงั้นรึ? เจ้าจงมองดูรูปร่างของข้าสิอ้วนอุ้ยอ้ายและยังตัวสั้นเตี้ย แถมข้ายังมีหัวที่โตมากอีกต่างหากข้าต้องแบกหัวหนัก ๆ นี้ไว้ตลอดเวลาเลย กว่าข้าจะเดินได้แต่ก้าวนี่ช่างยากลำบากกว่าเจ้าเป็นไหน ๆ แล้วอย่างนี้เจ้าจะมาหาว่าข้าเอาเปรียบเจ้าได้อย่างไรกัน ” เจ้าเข็มยาวก็กล่าวเสริมว่า “ เจ้าเข็มวินาทีเอ๋ยเจ้าคงไม่รู้หรอกนะว่า ข้าแอบอิจฉาเจ้าที่เจ้ามีรูปร่างเพรียวบางสามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่ว และมีสีแดงสดใสสะดุดตาเช่นเจ้านี้ ผิดกับข้านักที่ตัวดำและหนาเทอะทะ ” “ ไม่จริง พวกเจ้าโกหกไม่ต้องมาหลอกข้าซะให้ยาก บอกว่าข้าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่มาเป็นข้าดูบ้างล่ะ ข้าจะได้พักผ่อนเสียที ” เจ้าเข็มวินาทีกระแทกเสียง เจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามจึงสลับหน้าที่กัน โดยที่เจ้าเข็มสั้นทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มยาว ขณะที่เจ้าเข็มยาวทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มวินาที ส่วนเจ้าเข็มวินาทีได้แต่นอนดูเพื่อน ๆ เดินตามหน้าที่ใหม่ มันดีใจมากที่ไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไรเพราะมันทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มสั้น ทันใดนั้นเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก็เกิดความประหลาดใจมาก ที่เห็นนาฬิกาเรือนงามบนผนังเดินผิดปกติ กึก...กึก..........กึก........ เจ้าเข็มวินาทีสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของนาฬิกา “ โอ๊ย......... เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ? ” เจ้าเข็มวินาทีถามขึ้น “ แย่แล้ว..... พวกเราไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้วหรือนี่ ทำไมเขาถึงยกนาฬิกาที่เราอยู่ลงจากผนังเสีย ? เราจะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ ” เจ้าเข็มสั้นพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ “ เมื่อพวกเราต่างไม่ได้ทำตามหน้าที่ของตน นาฬิกาเรือนนี้ก็ไม่สามารถบอกเวลาได้อย่างแม่นยำเหมือนเดิมได้อีกแล้ว เจ้าของบ้านเขาคงเห็นว่าเราคงหมดประโยชน์แล้วล่ะ แต่ข้าว่ามันคงไม่สายเกินไปนะ ที่พวกเราจะทำให้นาฬิกาเรือนที่เราอยู่นี้มีคุณค่าขึ้นอีกครั้ง โดยที่เราต้องทำตามหน้าที่ของแต่คนตามเดิม ” เจ้าเข็มยาวบอก “ ข้าผิดไปแล้ว เพราะข้าคนเดียวทำให้พวกเราหมดคุณค่าไป “ เจ้าเข็มวินาทีพูดด้วยความสำนึกผิด แล้วเจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามก็กลับมาทำหน้าที่ของพวกตนตามเดิม เมื่อเจ้าของบ้านเห็นว่านาฬิกาเรือนงามของเขาสามารถบอกเวลาได้ตามปกติแล้ว เขาจึงนำนาฬิกาเรือนนั้นไปแขวนที่ผนังห้องนั่งเล่นตามเดิม เจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามก็เดินบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงามตามหน้าที่ของพวกตนอย่างมีความสุข ลองทบทวนกันดูนะว่าเรื่องนี้สอนอะไรเรากันบ้าง เราลองทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดให้สมกับที่เราได้รับมานะครับ

ก็สวยเลือก

ก็สวยเลือกได้ใคร ๆ ก็ว่าฉันนั้นสวยเลือกได้ ... เบือกหนุ่ม ๆ นับร้อยพันที่มาจีบตัวเองได้ และเลือกหนุ่ม ๆ ที่ตัวเองไม่ชอบทิ้งได้ เหมือนเด็ดใบกระเพราอย่างไรอย่างนั้น เพราะฉันนั้นสวยเลือกได้อย่างไรล่ะ... ตอนฉันอายุยี่สิบสองปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 1 : นายสาธิต อาชีพข้าราชการ วิธีการเข้ามาจีบ : ขอเบอร์โทรศัพท์ โทรมาชวนไปเที่ยวโน่นนี่ ผลลัพธ์ : ฉันไม่สนใจที่จะไปด้วย ปฏิเสธไปแล้ว สาเหตุ : นายสาธิตไม่ร่วย ก็ฉันสวยเลือกได้นี่ ... ตอนฉันอายุยี่สิบสามปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 2 : นายสมเจตน์ อาชีพพ่อค้า วิธีการเข้ามาจีบ : เสนอตัวพาครอบครัวฉันไปเที่ยวทะเล ผลลัพธ์ : ฉันคิดอยู่หนึ่งชั่วโมง และปฏิเสธไป สาเหตุ : นายสมเจตน์รวย แต่ไม่หล่อ อ้วน หัวล้าน ก็ฉันสวยเลือกได้นี่ ... ตอนฉันอายุยี่สิบสี่ปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 3 : นายวินัย อาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัย วิธีการเข้ามาจีบ : เอาตำราวิชาการที่เขาเขียนเองมาฝาก แต่ฉันอ่านไม่รู้เรื่อง ผลลัพธ์ : ฉันเอาหนังสือไปชั่งกิโลขาย เอาเงินมาซื้ออาหารให้แมวกิน สาเหตุ : นายวินัยรวย หล่อ แต่ดูเหมือนคนขี้โรค สติเฟื่องเกินไป ... ก็ฉันสวยเลือกได้นี่ ... ตอนฉันอายุยี่สิบห้าปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 4 : นายวัฒนา อาชีพนักกีฬาทีมชาติ วิธีการเข้ามาจีบ : เสนอตัวพาครอบครัวฉันไปดูเขาแข่งโอลิมปิกที่จีน ผลลัพธ์ : ฉันคิดอยู่สองคืนและปฏิเสธ สาเหตุ : ! นายวัฒนารวย หล่อ แข็งแรง แต่ดูไม่อบอุ่นเลย ... ก็ฉันสวยเลือกได้นี่ ... ตอนฉันอายุยี่สิบหกปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 5 : นายชูชาติ อาชีพนักดนตรี วิธีการเข้ามาจีบ : แต่งเพลงรักให้ฉันและร้องให้ฉันฟังในคืนพระจันทร์เต็มดวง ผลลัพธ์ : ฉันฟังเพลงจบแล้วหัวเราะน้ำตาร่วง โบกมือไล่เขากลับไป สาเหตุ นายชูชาติรวย หล่อ แข็งแรง ดูเป็นคนอบอุ่น แต่ไม่เร้าใจ ... ก็ฉันสวยเลือกได้นี่ ... ตอนฉันอายุยี่สิบเจ็ดปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 6 : นายอารยะ อาชีพนักแข่งรถมอเตอร์ไซด์ วิธีการเข้ามาจีบ : พาฉันซ้อนมอเตอร์ไซด์ซิ่งไปบนถนนร่วมกับฝูงเด็กแว้น ผลลัพธ์ : ฉัน...ก็สนุกดีนะ แต่ไม่เอาดีกว่า สาเหตุ : นายอารยะรวย หล่อ แข็งแรง ดูเป็นคนอบอุ่น เร้าใจ แต่ดูไม่เป็นผู้ใหญ่ ... ก็ฉันสวยเลือกได้นี่ ... ตอนฉันอายุยี่สิบแปดปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 7 : นายอุดม อาชีพทหาร วิธีการเข้ามาจีบ : สอนฉันขี่ม้าและขับรถจิ๊ปในค่ายทหาร ผลลัพธ์ : มันไม่ใช่นะกิ๊บ... สาเหตุ : ! นายอุดมรวย หล่อ แข็งแรง ดูเป็นคนอบอุ่น เร้าใจ เป็นผู้ใหญ่ แต่น่ากลัวเกินไป ... ก็ฉันสวยเลือกได้นี่ ... ตอนฉันอายุยี่สิบเก้าปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 8 : นายศักดิ์ชาย อาชีพดารานักแสดง วิธีการเข้ามาจีบ : พาฉันไปนั่งดูเขาแสดงละครในกองถ่ายฯ และพาฉันไปยืนให้ปาปารัชซี่ถ่ายภาพ เป็นเวลาสิบนาที เพื่อให้ข่าวของเรากระฉ่อนไปทั้งเมือง ผลลัพธ์ : ฉันตบหน้าเขาและวิ่งหนีจากมาเมื่อรู้ความจริง สาเหตุ : นายศักดิ์ชายรวย หล่อ แข็งแรง ดูเป็นคนอบอุ่น เร้าใจ เป็นผู้ใหญ่ ไม่น่ากลัว แต่เป็นเกย์... ต้องการควงฉันเพียงเพื่อกลบข่าว ... ไม่เป็นไร ฉันสวยเลือกได้นี่ ... ตอนฉันอายุสามสิบปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 9 : นายสถิตย์ อาชีพหมอดูชื่อดัง วิธีการเข้ามาจีบ : ดึงมือฉันไปดูและทำนายทายทักโชคชะตาเนื้อคู่ว่าน่าจะทำอาชีพหมอดูแน่ ๆ (เชยมาก ๆ) ผลลัพธ์ : ฉันให้แห้วกระป๋องเขาไป สาเหตุ : ก็ดีหรอก...นายสถิตย์รวย หล่อ แข็งแรง ดูเป็นคนอบอุ่น เร้าใจ เป็นผู้ใหญ่ ไม่น่ากลัว ไม่เป็นเกย์ แต่ดูเจ้าชู้ ... ไม่เป็นไร ฉันสวยเลือกได้นี่ ... ตอนฉันอายุสามสิบเอ็ดปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 10 : นายวิชชุ อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน วิธีการเข้ามาจีบ : ซื้อดอกไม้มาฝาก เข้าหาทางพ่อแม่ฉัน ส่งการ์ดข้อความหวาน ๆ มาให้ ชวนฉันไปทานข้าวเย็นในโรงแรมสุดหรู ฯลฯ ผลลัพธ์ : ฉันคิดหนัก แล้วปฏิเสธไป สาเหตุ : นายวิชชุรวย หล่อ แข็งแรง ดูเป็นคนอบอุ่น เร้า! ใจ เป็นผู้ใหญ่ ไม่น่ากลัว ไม่เป็นเกย์ ไม่เจ้าชู้ แต่ไม่มีอารมณ์ขัน ... ก็คงไม่เป็นไรมั้ง ฉันสวยเลือกได้นี่ ... ตอนฉันอายุสามสิบสองปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 11 : นายอนันต์ อาชีพนักบิน วิธีการเข้ามาจีบ : พาฉันนั่งเครื่องบินฟรีไปบาหลี พร้อมเลี้ยงอาหารทะเลใต้แสงเทียน สุดโรแมนติก ริมชายหาดแปซิฟิกตอนใต้ ผลลัพธ์ : ฉันนอนก่ายหน้าฝาก คิดหลายคืนแล้วปฏิเสธ (อีกแล้ว) สาเหตุ : นายอนันต์หล่อ รวย แข็งแรง ดูเป็นคนอบอุ่น เร้าใจ เป็นผู้ใหญ่ ไม่น่ากลัว ไม่เป็นเกย์ ไม่เจ้าชู้ มีอารมณ์ขัน แต่ฉันอยากได้ทั้งหมดที่ว่ามามากกว่านี้ โดยเฉพาะความรวย ... เอ่อ ก็คงไม่เป็นไรมั้ง ฉันสวยเลือกได้นี่ ... ตอนฉันอายุสามสิบสามปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 12 : นายนพพล &! nbsp;อาชีพนักการเมือง วิธีการเข้ามาจีบ : ชวนฉันไปดูแหวน ทำทีจะให้คนอื่น แต่เมื่อฉันเลือกแหวนวงที่สวยที่สุด (และราคาแพงที่สุดหลักหลายแสนบาท) ขึ้นมา เขาก็มอบให้ฉันและ คุกเข่าขอแต่งงานพร้อมสินสอดยี่สิบล้านบาท (ไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะนะ ก่อนเล่นการเมืองจนจะตาย) ผลลัพธ์ ฉันเขินมาก ปฏิเสธเขาแล้ววิ่งหนีมา เหมือนนิยายรักน้ำเน่า สาเหตุ : นายนพพลหล่อมาก รวย แข็งแรง ดูเป็นคนอบอุ่น เร้าใจมาก เป็นผู้ใหญ่ ไม่น่ากลัว ไม่เป็นเกย์ ไม่เจ้าชู้ มีอารมณ์ขัน แต่ฉันอยากได้ทั้งหมดที่ว่ามามากกว่านี้อีก โดยเฉพาะความรวย ... เอ่อ ก็คงไม่เป็นไรมั้ง ฉันสวยเลือกได้นี่เนอะ ... ตอนฉันอายุสามสิบสี่ปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 13 : นายสิน อาชีพนักธุรกิจ วิธีการเข้ามาจีบ : เขาทำทุกอย่างเท่าที่ผู้ชายที่เคยมาจีบฉันทั้งสิงสองคนก่อนหน้าจะทำให้ได้รับปากว่าจะยกธุรกิจโรงงานหมูยอร้อยล้านให้เป็นเจ้าของ เงินทองข้าวของอะไรอยากได้จะทุ่มให้ไม่อั้น

ผลลัพธ์ : ฉันปฏิเสธเขาอย่างสุภาพ แม้ว่าเขาจะอ้อนวอนแทบเป็นแทบตายก็ตาม สาเหตุ : นายสินหล่อมาก ๆ ! รวยมาก ๆ แข็งแรง ดูเป็นคนอบอุ่น เร้าใจมาก เป็นผู้ใหญ่ ไม่น่ากลัว ไม่เป็นเกย์เลย ไม่เจ้าชู้แน่นอน มีอารมณ์ขัน แต่ฉันอยากได้ทั้งหมดที่ว่ามามากกว่านี้อีก โดยเฉพาะความรวย ... เอ่อ ก็คงไม่เป็นไรมั้ง ฉันสวยเลือกได้นี่ใช่มั๊ย ... ตอนฉันอายุสามสิบห้าปี

ผู้เคราะห์ร้ายที่ 14 :...ไม่มี...ผลลัพธ์ :ฉันเริ่มหันซ้ายหันขวาหาคนที่จะเข้ามาหา(หายไปไหนหมดเนี่ย) พยายามสืบค้นดูว่าเจ้าสิบสามคนที่เคยมาจีบฉันนั้นไปไหนหมด และพบว่าทุกคนแต่งงานกันกันไปหมดแล้ว จำได้ว่าเคยได้ยินใครในสิบสามคนนี้ แหละบอกฉันว่า "ผมจะรอคอยคุณตลอดไป" เชอะ คนผีทะเลไม่รักษาคำพูด... สาเหตุ : เพื่อนชายคนหนึ่งของฉัน (ที่แต่งงานแล้ว) บอกฉันว่า "ก็แบบนี้แหละผู้หญิงเลือกมาก จนไม่มีใ! ห้เลือก ส่วนผู้ชายน่ะ ไม่เลือกอะไรเล้ยนอกจากหน้าตาแล้วก็มาเสียใจทีหลังทั้งคู่ ฮ่าๆๆๆ" "พูดอะไรของเธอ ฉันสวยเลือกได้นะ" ฉันโมโห "แล้วก็ตอนนี้มีให้เลือกมั๊ยล่ะ ฮ่าๆๆๆ ... ฉันนิ่งอึ้ง อาจจะจริงของเขา... ตอนฉันอายุสามสิบหกปี ผู้เคราะห์ร้ายที่ 14 : ... ก็ยังไม่มี ... โลกบัดสี อเวจีบัดซบ ... สวยเลือกได้อย่างฉันทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ... วันหนึ่งฉันไปยืนต่อแถวซื้อขนมเค้กเจ้าที่ดังที่สุดในเมืองไทยมากิน ระหว่างยืนรอคิวซื้ออยู่หน้าร้าน ฉันก็มองใบหน้าข! องตัวเองในผนังกระจก ภาพที่เห็นคือหญิงสาวในวัยใกล้กลางคนผิวพรรณเริ่มร่วงโรยกำลังยืนถือร่มกับข้าวของพะรุงพะรังอยู่ ฉันเห็นสภาพตัวเองในกระจกแล้วยังเผลอวิจารณ์เงานั้นอย่างปากจัดโดยไม่เกรงใจว่าจะเป็นเงาตัวเองสักนิด ป้าเพิ้งที่ไหนหนอ...ใช่ป้าเพิ้งคนที่เคยสวยงามเปล่งปลั่ง ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ผิวนวลสวย หุ่นดีอย่างเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วหรือเปล่าหนอ วันเวลาของคนเรามันผ่านไปไวจริง ๆ... ฉันซื้อขนมเค้กกลับมาบ้าน ราคาแพงโหดร้ายทารุณมาก แต่หน้าเค้ก็สวยน่ากินมาก ๆ เช่นกัน ตั้งใจว่าจะกินหลังอาหารเย็นวันนั้นเลย แต่ก็ยั้งใจไว้ เค้กสวย ๆ แบบนี้ไว้กินวันพรุ่งนี้ดีกว่า จนถึงวันรุ่งถึงฉันก็ยังเสียดายที่จะกินเค้กชิ้นนั้น มันสวยเสีย! จนฉันไม่กล้ากินเลย ดูเล่นให้ชื่นใจอีกสักวันเถอะน่า แล้ววันที่สามเมื่อฉันอยากจะกินเต็มที่ มองไปที่เค้กแสนสวยอีกทีก็ต้องตกใจ โกรธและเศร้าใจ เพราะเค้กแสนสวยก้อนนั้นขึ้นราเสียแล้ว ... ฉันนั่งมองเค้กก้อนนั้นแล้วถอนหายใจ นิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วก็รู้สึกว่าชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองก็คงเหมือนกับเค้กก้อนนี้ มัวแต่กังวลในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยมาจนไม่อาจทำอะไรได้อีก จะเคยสวยเคยสง่าแค่ไหน เมื่อเวลามาถึงช่วงหนึ่ง มันก็ไม่มีความหมายเสียแล้ว น่าแปลก บางทีมนุษย์ผู้มีมันสมองเป็นเลิศก็ยังต้องใช้ขนมเค้กที่ไร้ชีวิตมาสอนใจ... แต่ก็ดี เพราะฉันตัดสินใจได้แล้ว ตอนฉันอายุสามสิบแปดปี ผู้โชคดีรายที่ 14 : นายสมหวัง อาชีพครูโรงเรียนประถม วิธีการเข้ามาย : ง่ายจนคาดไม่ถึง เขาเดินเข้ามาบอกว่ารักฉัน แต่ต้องเจียมตัวเพราะไม่มีอะไรเลย ขอแค่ได้บอกรักฉันสักครั้งก็ดีใจแล้ว จากสายตาของฉัน : นายสมหวังไม่หล่อ ไม่รวย ไม่แข็งแรง ดูไม่อบอุ่นเร้าใจ เป็นผู้ใหญ่พอประมาณ น่ากลัวบางครั้ง แต่ก็ไม่เป็นเกย์ ไม่เจ้าชู้ มีอารมณ์ขันนิดหน่อย หนี! ้สินอีกพอควร หากเทียบกับชายหนุ่ม สิบสามคน ที่ผ่านมาแล้วคงเรียกได้ว่านายสมหวังนั้นสู้ไม่ได้เลยสักนิด แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันประทับใจ ในตัวเขาก็คือเขารักฉันจริง ๆ เขาดูแลฉันได้ เป็นที่พึ่งฝากผีฝากไข้ได้ ผลลัพธ์ : ฉันแต่งงานกับนายสมหวังและมีลูกสองคน เราอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีความสุขในบ้านพักครูหลังโรงเรียน ตอนนี้เราสองคนเก็บเงินไปซื้อบ้านหลังใหม่ถาวรชานเมืองกันอยู่ อาจจะต้องกู้เ! งินธนาคารและผ่อนหลายสิบปีเพราะเราไม่มีเงินสดมากมายนัก แต่เราก็ดีใจที่จะได้มีบ้านเป็นของตัวเอง ทุกวันนี้ฉันมองนายสมหวังด้วยความภูมิใจที่เขาขยันขันแข็งและดีต่อฉัน ไม่ต้องหล่อ ต้องรวย หรือมีบุคคลิกน่าตื่นเต้นหลงใหลอะไรหรอก แค่รักฉันอย่างจริงใจก็พอแล้ว...พอแล้วจริง ๆ เพราะที่สุดแล้ว...ลูกผู้หญิงอย่างฉันก็ต้องการแค่นี้แหละ

(ปล. ในที่สุดฉันก็เลือกได้ เห็นมั๊ยล่ะว่าฉันสวยเลือกได้จริง ๆ..)

โดย ที่นี่ดอทคอม

อย่ามองข้าม … ใครบางคน

อย่ามองข้าม...ใครบางคน...คนหนึ่งไป เพียงเพราะ … หาเหตุผลที่จะรักไม่ได้ถ้าเราเกิดมา เพื่อที่จะรักใครสักคน … คน ๆ นั้นจะรักเราตอบไหม แต่ถ้าเราเกิดมา … เพื่อที่จะรักใครหลาย ๆ คน เชื่อเถอะว่า … จะไม่มีใครรักเราจริงเลย... แม้แต่คนเดียวบางครั้ง ความรัก … อาจเดินผ่านเข้ามา ในชีวิตเราเพียงครั้งเดียว และไม่หวนคืนกลับมาอีก... เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า … ความรักครั้งนี้หรือครั้งไหน... จะเป็นความรักครั้งสุดท้ายมีหลายครั้ง … ที่เราตามหา แต่ความรักกลับหนีไป... มีหลายครั้ง … ที่เราไม่สนใจ แต่ความรักก็กลับเดินเข้ามาอย่า … ถามหาเหตุผล เมื่อจะรักใคร... แต่ให้ถามสัมผัสจากหัวใจ ว่ารู้สึกอย่างไรอย่า … มองหาความรัก... ด้วยสายตา ...แต่ให้มองหาความรัก... ด้วยหัวใจอย่า … เชื่อคำว่า... รักที่ได้ยินจากหูทั้งสอง... แต่ให้เชื่อคำว่ารัก ที่ดังก้องมาจากความรู้สึก... และส่วนลึกของหัวใจความรัก... เป็นสิ่งที่มีค่า … แต่มันจะไร้ค่า... ถ้าไม่มอบให้ใครหากวันหนึ่ง... เราพบใครสักคน... ที่มองเห็นคุณค่าความรักของเราแล้วหล่ะก็ … มอบความรักให้เขาไปเถอะ... แล้วเราจะรู้ว่าความรักนั้น … มีค่า และมีความหมายเพียงใดถึงแม้รักนั้นจะเป็นรักที่ไม่สามารถครอบครองหรือเป็นเจ้าของได้ก็ตามอย่ามองข้าม...ใครบางคน...คนหนึ่งไป เพียงเพราะ … หาเหตุผลที่จะรักไม่ได้ถ้าเราเกิดมา เพื่อที่จะรักใครสักคน … คน ๆ นั้นจะรักเราตอบไหม แต่ถ้าเราเกิดมา … เพื่อที่จะรักใครหลาย ๆ คน เชื่อเถอะว่า … จะไม่มีใครรักเราจริงเลย... แม้แต่คนเดียวบางครั้ง ความรัก … อาจเดินผ่านเข้ามา ในชีวิตเราเพียงครั้งเดียว และไม่หวนคืนกลับมาอีก... เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า … ความรักครั้งนี้หรือครั้งไหน... จะเป็นความรักครั้งสุดท้ายมีหลายครั้ง … ที่เราตามหา แต่ความรักกลับหนีไป... มีหลายครั้ง … ที่เราไม่สนใจ แต่ความรักก็กลับเดินเข้ามาอย่า … ถามหาเหตุผล เมื่อจะรักใคร... แต่ให้ถามสัมผัสจากหัวใจ ว่ารู้สึกอย่างไรอย่า … มองหาความรัก... ด้วยสายตา ...แต่ให้มองหาความรัก... ด้วยหัวใจอย่า … เชื่อคำว่า... รักที่ได้ยินจากหูทั้งสอง... แต่ให้เชื่อคำว่ารัก ที่ดังก้องมาจากความรู้สึก... และส่วนลึกของหัวใจความรัก... เป็นสิ่งที่มีค่า … แต่มันจะไร้ค่า... ถ้าไม่มอบให้ใครหากวันหนึ่ง... เราพบใครสักคน... ที่มองเห็นคุณค่าความรักของเราแล้วหล่ะก็ … มอบความรักให้เขาไปเถอะ... แล้วเราจะรู้ว่าความรักนั้น … มีค่า และมีความหมายเพียงใดถึงแม้รักนั้นจะเป็นรักที่ไม่สามารถครอบครองหรือเป็นเจ้าของได้ก็ตาม

ที่มาfm.

รักแท้..แพ้ระยะทาง จริงหรือ

หลายคนเคยกล่าวว่า รักแท้..แพ้ระยะทาง และนักต่อนักแล้วคนที่รักกัน ต้องมีอันเลิกรากันไปเพราะความห่างกันเนื่องจากระยะทาง เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอันจะต้องจากอีกฝ่ายหนึ่งไปยังที่ที่ห่างไกล (ในที่นี้ขอยกตัวอย่างการอยู่คนละประเทศ) ความห่างเป็นปัจจัยที่อันตรายที่สุด ทำไมถึงกล่าวเช่นนี้? การที่คนสองคนคบกัน มันก็ย่อมเหมือนลิ้นกับฟันที่จะต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา แต่เมื่อคุณอยู่ไกลกันแล้ว มันง่ายมากที่จะทำให้ทำให้ความสัมพันธ์กับคนรักต้องระหองระแหงหากคุณทั้งสองคนไม่มั่นคงเพียงพอ ถ้าถามว่าอยู่ด้วยกันแล้วจะไม่กระทบกระทั่งกันเลยหรือ คำตอบคือ ไม่ใช่ หากแต่ว่าถ้าคุณอยู่ด้วยกัน คุณคงทำอะไรได้มากกว่าอยู่ไกลกันเป็นแน่ เพราะถ้าคุณต้องอยู่ห่างกันคนละประเทศ สิ่งที่คุณจะทำได้คือ โทรศัพท์.. คุณจะทำได้แค่พูดและรับฟัง โต้ตอบการสนทนา แต่คุณไม่สารมารถรับรู้ืถึงอารมณ์ หรืออวัจนะภาษากริยา สีหน้า ของฝ่ายตรงข้ามเลย และแน่นอน คุณก็ไม่สามารถใช้มันได้เช่นกัน (คุณสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ของฝ่ายตรงข้ามได้จากน้ำเสียง แต่มันเทียบกับการคุยกันซึ่งๆ หน้าไม่ได้เลย) ซึ่งในบางครั้งการมีปากเสียงกันด้วยเรื่องเล็กๆ อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เมื่อคุณอยู่ไกลกัน นอกจากเรื่องของการกระทบกระทั่งกัน คุณมั่นใจได้อย่างไรว่า ความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะความไกลกัน "ระแวง" คำนี้คงผุดขึ้นในใจของคุณเมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ใช่แล้ว..ต่อให้รักกันขนาดไหน ไว้ใจกันแค่ไหนแต่เมื่ออยู่ไกลกัน สิ่งนี้มันต้องเกิดขึ้นในใจของคุณไม่มากก็น้อย หรือไม่จริง?? หากแต่ว่าคุณทั้งสองคนจะสามารถให้ความมั่นใจต่อกันได้มากแค่ไหน ถ้าคุณเป็นคนที่มั่นคงในความรักของคุณ บางครั้งคุณต้องบอกให้คนรักของคุณทราบ เพราะถ้าไม่บอก ไม่ให้ความมั่นใจกับอีกฝ่ายแล้ว คนรักของคุณจะทราบได้อย่างไร นี่เป็นอีกกรณีหนึ่งคือ การไม่พูด ต่างคนต่างคิดกันเอง เข้าใจกันไปคนละอย่างจากการที่คิดว่า "เค้าน่าจะรู้น่า" แต่จะบอกให้ว่าสำหรับบางเรื่องนั้น "ไม่ใช่!!" ฉะนั้นการพูดกันคือสิ่งที่ดีที่สุด ความรู้สึกที่เคยมีให้ การให้อภัย การมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ความคิดถึง ที่เคยมีให้ครั้งเมื่ออยู่เคียงข้างกัน อาจจะถูกบั่นทอนลงได้ เนื่องจากระยะทาง และความห่างกัน ความรักความทุ่มเทที่เคยมีให้ ก็จะลดน้อยลงก็เป็นได้ การรักษาระยะห่างให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าอยู่ใกล้กันตลอดอาจเป็นหนึ่งในทางเลือกที่จะป้องกันสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ี้ แต่มันจะทำได้มากแค่ไหน มันก็ต้องขึ้นอยู่กับคนทั้งสองคน บางครั้งการแสดงออกถึงการให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย ก็เป็นสิ่งสำคัญ มันก็เป็นเหมือนกับการให้ความมั่นใจกับคนรักของคุณ การบอกรัก การกล่าวคำว่า คิดถึง บางคนมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ในเมื่อคบกันแล้ว ก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ว่า.. เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องบอกหรอก.. หากคุณเคยรู้สึกพองโต ยามเมื่อคนที่คุณรักบอกรักหรือคิดถึงคุณบ้าง.. คุณมีความสุขเมื่อได้ยินเช่นนั้น แน่นอนและเชื่อได้ว่าอีกฝ่ายคงจะรู้สึกไม่ต่างอะไรจากคุณ หากคุณได้บอกกับเค้า หมั่นรดน้ำต้นรักของคุณ มากกว่าปล่อยให้มันแห้งตายเถอะนะ คุณจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง
ที่มาfm

อย่าเอาความรักของคุณไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

"คนรัก" คือ คนแปลกหน้า ที่มักทำตัวไม่น่ารัก แต่เราก็รักเคยเป็นมั้ย..คนรักของเรา..แต่มักทำตัวไม่น่ารัก
เรามักอิจฉาคนรักของคนอื่น..มองว่าเขารักกันดี..เขาน่ารัก แต่คู่ของเรา..กลับทำตัวไม่ค่อยน่ารัก..ไม่ได้ดั่งใจ ถ้าฉันจะถามว่า..เอามั้ย..แลกกัน.. เอาคู่ของคนนั้นมาเป็นแฟนเรา เอาแฟนเรา .. ไปเป็นคู่เขาแทน เธอก็คงตอบได้ทันที..ว่า "ไม่เอา" เหมือนกัน ........................ ถ้าตอบได้อย่างนั้น.. แสดงว่าเธอยอมรับจุดบกพร่องของเขาได้แล้วนะ แม้เขาจะทำตัวไม่น่ารักยังไง.. แต่เธอเริ่มเลิกถือสาเขาแล้ว ยังไงๆ เธอก็ยังรักเขาอยู่ดี.. แต่ถ้าเธอคิดว่า อยากเปลี่ยน.. เธอควรเปลี่ยนซะเถอะ ไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์.. คู่นั้นดูเขารักกันดี แต่หากคนๆ นั้น มาเป็นคู่เรา.. เราอาจไม่ได้รักกันอย่างนั้นก็ได้นะ ................. เรื่องระหว่างคนสองคน.. บางทีมันก็ไม่ได้บ่งบอกความเป็นตัวเขาทั้งหมด เพราะมันเป็นการปฏิบัติระหว่างคนสองคน.. มีเพิ่มมีลดเพื่อให้สมดุล ผลลัพธ์แบบคู่จึงไม่สามารถตัดสินตัวตนของคนใดคนหนึ่งได้ เพราะเป็นเธอคนนั้น..เขาก็เลยเป็นอย่างนั้น ลองมาเจอเราสิ ลองเป็นแฟนเรา.. เขาก็จะเป็นอีกอย่าง เลิกคิดเอาคู่ตัวเองไปเปรียบกับใคร.. ลองมองความไม่น่ารักของเขา.. ให้เป็นความน่ารัก..ที่หาไม่ได้จากคนอื่น บางทีความไม่น่ารักที่เขามี.. ก็คือที่มาที่ทำให้เธอรักเขานั่นแหละ

มาติดตั้งโปรแกรมความรักกัน

ช่างเทคนิค :'ฮัลโหล สวัสดีครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ ลูกค้า :'ดิฉันได้นั่งนึกดูแล้วคิดว่า โปรแกรมความรัก นี่ก็น่าสนใจ ดีนะคะ คุณช่วยกรุณาแนะนำดิฉันหน่อยได้ไหมคะว่าจะลงโปรแกรมนี้ยังไง'ช่างเทคนิค :'ด้วยความยินดีครับ ไม่ทราบว่าพร้อมที่จะลงโปรแกรม หรือยังครับ'ลูกค้า :'อืม... ไม่รู้เหมือนกันคะ บอกตามตรงว่าดิฉันไม่ค่อยรู้ เรื่องคอมพิวเตอร์เท่าไร แต่ดิฉันคิดว่าน่าจะพร้อมคะ ไม่ทราบว่าต้องเริ่มทำยังไงบ้างคะ'ช่างเทคนิค :'อันดับแรกเลยคุณต้องเปิดใจคุณก่อนครับ'ลูกค้า :'ไม่มีปัญหาคะ แต่ว่าตอนนี้ฉันเปิดใช้โปรแกรมอื่นอยู่ด้วย ไม่ทราบว่าจะมีปัญหาใน การติดตั้งไหมคะถ้าฉันไม่ได้ปิดโปรแกรมพวกนี้'ช่างเทคนิค :'ไม่ทราบว่าโปรแกรมอะไรหรือครับที่กำลังเปิดใช้งานอยู่'ลูกค้า :'เดี๋ยวขอดิฉันดูนิดนึงนะคะ อืม... ก็มีโปรแกรม 'ความเจ็บปวดในอดีต', 'การไม่เห็น คุณค่าของตัวเอง', 'ความริษยา', 'ความขุ่นเคือง' และก็ 'โปรแกรมความโกรธ' ทั้งหมดที่เปิดก็มีเท่านี้ค่ะ'ช่างเทคนิค :'ไม่มีปัญหาครับ โปรแกรมความรักจะค่อยๆลบความเจ็บปวดในอดีต ออกจากระบบปฏิบัติการครับ มันอาจจะคงอยู่ในหน่วยความทรงจำแต่ว่าจะไม่รบกวนการทำงานของโปรแกรมอื่นๆครับ ไม่ต้องกังวล สำหรับโปรแกรมการไม่เห็นคุณค่าของตัวเองนั้นจะค่อยๆหายไปเอง เพราะส่วนประกอบส่วนหนึ่งของโปรแกรมความรัก คือการเห็นคุณค่าของตนเอง ส่วนนี้จะค่อยๆเข้ามาแทนที่อย่างช้าๆจนการไม่เห็นคุณค่าตัวเองหมดไป แต่ว่าคุณเองจะต้องปิดโปรแกรมความริษยา ความขุ่นเคืองและ ความโกรธลง เพราะโปรแกรมพวกนี้จะขัดขวางไม่ให้โปรแกรมความรักสามารถติดตั้งได้ รบกวนช่วยปิดโปรแกรมพวกนี้ ก่อนได้ไหมครับ'ลูกค้า :'บอกตามตรงเลยนะคะ ดิฉันไม่รู้จริงๆคะว่าจะปิดโปรแกรมพวกนี้ยังไง'ช่างเทคนิค :'เข้าไปที่ Start Menu นะครับ แล้วเรียกโปรแกรมการให้อภัยขึ้นมาต้องเปิดโปรแกรมนี้เรื่อยๆจนกว่าความริษยา, ความขุ่นเคืองและก็ความโกรธจะถูกลบออกไปจนหมด'ลูกค้า :'ได้คะ.... เสร็จแล้วคะ ตอนนี้โปรแกรมความรักเริ่มที่จะติดตั้งอัตโนมัติแล้วค่ะ แต่ เอ..........นี่เป็นปกติของโปรแกรมใช่ไหมคะที่ติดตั้งด้วยตัวมันเอง'ช่างเทคนิค : 'ใช่ครับ แต่อย่าลืมนะครับว่า นี่เป็นเพียงโปรแกรมพื้นฐานเท่านั้น คุณจะต้องติดต่อกับหัวใจดวงอื่นๆเพื่อที่จะได้ upgrade โปรแกรมความรักให้มี version ที่สูงขึ้น'ลูกค้า :'อุ้ย....มีข้อความผิดพลาดขึ้นที่หน้าจอบอกว่า 'โปรแกรมไม่สามารถติดต่อออก ไปสู่ภายนอกได้' ดิฉันควรทำยังไงดีคะ'ช่างเทคนิค :'ไม่ต้องตกใจครับ นั่นแสดงว่าตอนนี้โปรแกรมความรักได้ติดตั้งอยู่ภายในใจคุณเรียบร้อยแล้วครับ แต่ที่โปรแกรมยังไม่สามารถใช้งานได้ ก็เพราะว่าคุณต้องเริ่มรักตัวคุณเองก่อน จากนั้นคุณถึงจะรักคนอื่นได้'ลูกค้า :'แล้วดิฉันควรจะทำยังไงคะ'ช่างเทคนิค :'คุณช่วยเลื่อนการยอมรับตัวเองลงมาหน่อยได้ไหมครับ จากนั้นให้คลิกที่ไฟล์ 'การยกโทษให้ตนเอง' 'การรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง' และ การยอมรับถึงความจำกัดในตัวคุณ'......'ลูกค้า :'ได้ค่ะ...เสร็จแล้วค่ะ'ช่างเทคนิค :'โอเคครับ จากนั้นก็ก๊อปปี้ไฟล์พวกนี้เข้ามาในไดเร็กทอรี่ 'ใจฉัน' ระบบจะทำการจัดการไฟล์ที่มีปัญหารวมทั้งแก้ไขโปรแกรมต่างๆที่มีข้อผิดพลาด แต่ว่าคุณจะต้องลบไฟล์ 'การพูดถึงตัวเองในแง่ลบ' และ 'ไฟล์การตัดสินผู้อื่น' ออกจากทุกๆไดเร็กทอรี่นะครับ และอย่าลืมเข้าไปลบอีกที ใน Recycle Bin นะครับ เพื่อให้มั่นใจว่าไฟล์พวกนี้ถูกลบจนหมดและไม่มีทางกลับเข้ามาทำความยุ่งยากได้อีก'ลูกค้า :'ทราบแล้วคะ เอ๊ะ!!...มีไฟล์ใหม่ๆเกิดขึ้นในหัวใจตั้งเยอะคะ 'ยิ้ม' กำลังวิ่งเล่นอยู่บนหน้าจอ 'สันติสุข' และ 'ความยินดี' กำลังก๊อปปี้ตัวเองอยู่ทั่วไปภายในใจฉันนี่เป็นปกติหรือเปล่าคะ'ช่างเทคนิค :'ครับ บางครั้งสำหรับบางคนอาจต้องใช ้เวลาหน่อย แต่ท้ายที่สุดสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม ตอนนี้โปรแกรมความรักได้ติดตั้งและเปิดใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ มีอีกอย่างหนึ่งที่อยากจะบอกก่อนที่จะวางสายครับ ความรักเป็นโปรแกรมให้เปล่า อย่าลืมแบ่งปันให้คนอื่นนะครับ ความรักที่คุณให้ไปจะไม่เหมือนกันในแต่ละคน และความรักนี้จะถูกส่งต่อไปยังคนอื่นๆและส่วนหนึ่งก็จะกลับคืนมาสู่ตัวคุณด้วย และเมื่อนั้นความรักของคุณก็จะมีการพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง'ลูกค้า :'ดิฉันให้สัญญาค่ะ...................ว่าจะแบ่งปันโปรแกรมความรักให้กับคนอื่นๆ รบกวนขอทราบชื่อของ คุณหน่อยได้ไหมคะ'ช่างเทคนิค :'เรียกผมว่า 'ผู้ชันสูตรจิตใจ' หรือ เราเป็น' (I AM) ก็ได้ครับ คนส่วนใหญ่คิดว่าพวกเขาจะต้องไปตรวจสุขภาพจิตใจปีละครั้ง เพื่อให้หัวใจเขามีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แต่ผู้ที่สร้างใจ (ผมเอง) ขอแนะนำว่าไม่จำเป็น................ เพียงแต่คุณคอยหมั่นดูแลความรักให้คงอยู่ในแต่ละวันก็เพียงพอแล้วครับ'
ที่มา:FM

20 สิงหาคม 2552

อวัยวะไหนที่สำคัญที่สุด

อวัยวะไหนที่สำคัญที่สุด
คำถามแม่
แม่ของผมเคยถามผมว่า ส่วนไหนของร่างกายที่สำคัญที่สุด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมได้ทายสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นคำตอบที่ถูก
เมื่อตอนผมยังเป็นเด็กเล็กผมเคยคิดว่าเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ดังนั้น ผมจึงบอกแม่ว่า "มันคือ หู ผมไง"แต่แม่บอกว่า
"ไม่ใช่จ้ะ คนจำนวนมาก หูหนวกแต่ก็ยังอยู่ได้"
ลูกลองคิดดูไปก่อนนะ แล้วเร็วๆนี้แม่จะถามลูกใหม่

หลายปีผ่านไปก่อนที่ แม่จะถามผมเรื่องนี้อีกครั้งตั้งแต่ที่ผมทายผิดครั้งแรก
ผมก็พยายามครุ่นคิดหาคำตอบที่ถูกต้องตลอดมาและในตอนนี้ผมบอกกับแม่ว่า "การมองเห็นสำคัญมากสำหรับทุกๆคนดังนั้นมันต้องเป็นตาของเราแน่เลย ที่สำคัญที่สุด"แม่มองมาที่ผม และบอกกับผมว่า
"ลูกเรียนรู้ได้เร็วมากแต่ว่าคำตอบก็ยังไม่ถูกจ้ะเพราะว่า ยังมีคนอีกมากมายที่ตาบอดแต่ก็ยังอยู่ได้"

อึ้งไปอีกครั้ง แต่ผมก็ยังคงพยายามค้นคว้าหาความรู้ต่อมาอีกหลายปีและแม่ก็ยังคงถามผมอีก หลายครั้ง และทุกครั้งคำตอบของแม่ก็คือ "ไม่ใช่จ้ะแต่ลูกก็ฉลาดขึ้นทุกๆครั้ง นะจ๊ะ ลูกรัก"
จนเมื่อปีที่แล้ว ปู่ของผมตายลงทุกคนในบ้านเศร้าใจกันมาก ทุกคนร้องไห้แม้แต่พ่อของผมก็ร้องด้วยผมจำได้ดีเพราะว่ามันเป็นเพียงครั้งที่สองที่ผมเห็นพ่อร้องไห้ แม่มองมาที่ผมตอนที่เรากล่าวคำอำลาครั้งสุดท้ายต่อคุณปู่แล้วแม่ก็ถามผมว่า
"ลูกรู้หรือยังส่วนไหนของร่างกายเราสำคัญที่สุดลูกรัก"ผมรู้สึกงุนงง ที่แม่ถามผมตอนนี้ผมคิดตลอดมาว่าคำถามนี้เป็นเกมส์ระหว่างผมกับแม่
แม่มองเห็นสีหน้ามึนของผมและก็บอกว่าคำถามนี้สำคัญมากลูกมันแสดงให้เห็นความจริง ในชีวิตของเราสำหรับอวัยวะต่างๆที่ลูกเคยบอกกับแม่ว่าสำคัญในอดีตที่ผ่านมา
และแม่ได้บอกกับลูกว่า มันผิดมาตลอดพร้อมกันนั้นแม่ก็ได้ยกตัวอย่างให้ลูกฟังว่าทำไมมันถึงผิดแต่ว่าวันนี้เป็นวันที่ลูกจะได้เรียนบทเรียนที่สำคัญที่สุด
แม่ ก้มลงมองมาที่ผมด้วยความรู้สึกลึกซึ้งอย่างที่แม่คนหนึ่งจะทำได้ผมเห็นตาแม่เอ่อด้วยน้ำตา และแม่ก็พูดว่า
"ลูกรักส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกก็คือ บ่า จ้ะ"
ผมถามแม่ว่า "เป็นเพราะว่ามันคอยรองรับหัวของเราไว้ใช่มั้ยครับ"
แม่ตอบว่า "ไม่ใช่จ้ะ
แต่เป็นเพราะว่ามันสามารถรองรับศีรษะของเพื่อนของเราหรือคนที่เรารัก เมื่อยามที่เค้าร้องไห้
คนเราทุกคนต้องการบ่าใครซักคนไว้คอยซบยามร้องให้ในบางช่วงเวลาของชีวิต”ลูกรัก แม่เพียงแต่หวังว่าลูกจะมีเพื่อนและคนรักที่จะมีบ่าพร้อมที่จะให้ลูกซบตอนร้องไห้ยามเมื่อลูกต้องการ
ตรงนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดของร่างกายเราคือการไม่เห็นแก่ตัวและมันคือความรู้สึกร่วมรับรู้กับความเจ็บปวดของคนอื่น
คนเราอาจจะลืม สิ่งที่คุณพูด.......
คนเราอาจจะลืมสิ่งทีคุณทำ.........
แต่ไม่มีใครลืม สิ่งที่ทำให้เค้า "รู้สึก" ได้......
ต้นฉบับของจม.ฉบับนี้มาจาก ไหนไม่ทราบ
แต่มันจะนำพรประเสริฐมาสู่คนที่เผยแพร่ข้อความนี้ออกไปต่อๆกัน

เพื่อนที่ดีก็เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า....คุณไม่ได้เห็นมันตลอดเวลาหรอกแต่คุณรู้ว่า พวกเค้าอยู่ที่ตรงนั้นกับคุณ ตลอดเวลาหัวข้อนี้โพสจากกระดาน สนธยาวาไรตี้
http://www.sonthayaonline.com/forums/,
ลิงค์ URL:http://www.sonthayaonline.com/forums/viewthread.php?tid=4483

เจ้าหญิง

เจ้าหญิง - บทความซึ้งๆ
ทหารหนุ่มแอบหลงรักเจ้าหญิงเลอโฉม เขาตระหนักถึงความสูงส่งของเธอ เฉกเช่นเดียวกับที่ตระหนักถึงความต่ำต้อยตน แต่เขายังรวบรวมความกล้า เดินเสี่ยงตายเข้าไปบอกเธอว่า"รัก" และจะอยู่บนโลกต่อไปโดยไม่มีเธอไม่ได้
เจ้าหญิงผู้เป็นดวงใจตอบเขาว่า ถ้าเขาสามารถรอคอยอยู่ใต้ระเบียงห้องเธอได้ติดต่อกัน 100 วัน 100 คืน เธอจะเป็นของเขาตลอดไป
ณ ใต้ระเบียง ทหารหนุ่มเฝ้ารอคอยอยู่ตรงนั้นวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่าโดยไม่ยอมขยับเขยื้อนกายไปไหน เขารอคอยในสายลมบาดผิว รอคอยในสายฝนกระหน่ำรอคอยในความหนาวเหน็บของหิมะ วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า โดยมีเจ้าหญิงของเขาเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา เธอเห็นหยาดน้ำตาของเขาพรูพรายเป็นสาย จนกระทั่งในคืนที่ 99 ทหารหนุ่มหยุดร้องไห้ หยุดรอคอย หยุดทุกอย่างไว้ แล้วหันหลังเดินจากไป
เรื่องนี้ไม่มีตอนจบ แต่มีบางคำถาม บางคำตอบในใจ
ความรักของเธอกับเขาอาจจะเหมือนนาฬิกาทราย เมื่อฝ่ายหนึ่งเริ่มหมดรักไปในใจอีกฝ่านหนึ่งกลับรักขึ้นมาใหม่เต็มเปี่ยม แต่บางทีทหารหนุ่มอาจตั้งใจแค่แสดงให้เห็นว่าเขารักเธอจริงแท้แค่ไหน แค่พิสูจน์ให้เห็น แต่ไม่ต้องการครอบครองไว้ หรือบางทีเขาอาจเสียใจ ต้องตัดใจจากไปเพราะรักเขาถูกทำร้ายย่ำยี หรือบางทีเป็นเจ้าหญิงเองที่เสียใจ เพราะไม่เคยมีใครรักเธอได้อีกถึงเพียงนี้
ความรัก เป็นสิ่งที่ออกแบบไม่ได้ ความรัก เป็นเรื่องที่บังคับใจกันไม่ได้ ความรัก ที่บริสุทธิ์ คือ การให้ ให้โดยที่ไม่หวังว่าจะได้อะไรตอบแทน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่ให้มักจะหวังอยู่ลึก ๆ ที่จะได้ความรัก เป็นสิ่งตอบแทน.. เสมอ และเมื่อเค้าได้ความรักกลับมาแล้ว มีเพียงน้อยคนนักที่จะสามารถให้ในลักษณะนี้ได้ตลอดไป
ความอดทนอยู่คู่กับความรักไม่ได้ แต่ความเข้าใจต่างหากที่ควรเคียงคู่กันไป ถูกต้องที่ "เวลา" เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะความรัก การประคองให้รักกันได้ตลอดไปเป็นสิ่งที่ยากกว่าการจะทำอย่างใรให้รักกัน
-ไม่ทราบชื่อผู้เขียนที่แท้จริง

เขียนลงบนพื้นทราย

เป็นเรื่องราวของเพื่อน 2 คนที่กำลังเดินทางอยู่กลางทะเลทราย
เมื่อเดินทางถึงจุดหนึ่ง ก็เกิดการโต้เถียงกัน เพื่อนคนหนึ่งก็ตบหน้าเพื่อนอีกคนหนึ่ง

เพื่อนคนที่ถูกตบหน้า ไม่ว่าอะไรสักคำ แต่กลับเขียนข้อความไว้ที่พื้นทรายว่า
"วันนี้เพื่อนรักของฉัน ตบหน้าฉัน"

พวกเขาเดินทางกันต่อไป จนกระทั่งพบแหล่งน้ำกลางทะเลทราย พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำที่นั่น เพื่อนคนที่ถูกตบหน้าก็เกิดจมน้ำ แต่ก็โชคดีที่เพื่อนอีกคนช่วยชีวิตไว้ได้
เมื่อเขาหายตกใจจากการจมน้ำ เขาก็จารึกข้อความไว้ที่ก้อนหินว่า"วันนี้เพื่อนรักของฉัน ช่วยชีวิตฉันไว้"
เพื่อนคนที่ช่วยชีวิตเขาและตบหน้าเขารู้สึกแปลกใจในการกระทำของเขา จึงเอ่ยปากถามว่า
"ทำไมตอนที่ฉันทำร้ายเธอ เธอเขียนลงบนพื้นทราย แต่ตอนนี้เธอเขียนลงบนหิน"
เพื่อนอีกคนยิ้มและตอบว่า
"เมื่อเพื่อนทำร้ายเรา เราควรจะเขียนลงบนทราย เพื่อให้สายลมแห่งอโหสิพัดมาและลบมันทิ้งไปและเมื่อมีความประทับใจเกิดขึ้น เราควรจะจารึกไว้ในศิลาแห่งความทรงจำจากใจ ซึ่งสายลมจะมิอาจทำให้มันเลือนลางได้"
จงเรียนรู้ที่จะเขียนลงบนพื้นทรายหัวข้อนี้โพสจากกระดาน สนธยาวาไรตี้ http://www.sonthayaonline.com/forums/, ลิงค์ URL:http://www.sonthayaonline.com/forums/viewthread.php?tid=6511

ใครว่าการแต่งงาน หมายถึงความรัก

หากคุณคิดว่าชายหญิงแดนกิมจิสมัยนี้แต่งงานกันเพราะความรักเป็นเรื่องใหญ่ ขอบอกว่าคุณกำลังเข้าใจผิด โลกแห่งความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็นในหนังรักเกาหลีหรอก
ข้อแรกที่ทำให้หนุ่มสาวเมืองโสมเข้าสู่ประตูวิวาห์ไม่ใช่ความรัก แต่ที่พวกเขาเป็นห่วงมากที่สุดคือ อุปนิสัยของคนที่เขาจะแต่งงานด้วยว่าเข้ากันได้ไหม หน้าที่การงานดีหรือเปล่า รายได้และฐานะเป็นอย่างไร นายชา ยุน-บิน เป็นตัวอย่างหนึ่งของชายเกาหลีที่พูดอย่างเปิดอกว่าเจ้าสาวของเขาต้องเป็นคนที่ใช้เงินเป็น รู้จักใช้ รู้จักออม ไม่เช่นนั้นอยู่กันไปอาจทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นหย่าขาดในที่สุด ส่วนเรื่องความรักนั้นเป็นเรื่องรอง
สำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีรายงานว่า ผู้ชายเมืองโสมกำลังคิดอย่างนี้กันมาขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่สถิติการหย่าร้างในประเทศก็สูงสุดเป็นอันดับสามของโลก การที่คนหนุ่มสาวคิดเช่นนี้ก็เพราะพวกเขารู้สึกว่า ไม่อยากเสียเวลาอยู่กินกับคนที่ "ไม่ใช่" ฉะนั้นก็ว่าจ้างคนอื่นให้มองหาคนที่ "ใช่" ให้ก็แล้วกัน เลยทำให้เมื่อปีที่แล้วเกิดบริษัทจัดหาคู่ในเกาหลีใต้มากถึงกว่า 1,100 แห่ง หน้าที่ของบริษัทเหล่านี้คือ รวมรวมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับอุปนิสัยใจคอ บุคลิก และฐานะทางการเงินของว่าที่คู่สมรสของลูกค้าที่มาว่าจ้าง
"ซูนู" เป็นบริษัทจัดหาคู่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ มีพนักงานทำหน้าที่ "พ่อสื่อ-แม่สื่อ" ประมาณ 100 คน เพื่อคอยดูแลลูกค้าถึง 100,000 ราย ที่ปรึกษาด้านการหาคู่คนหนึ่งบอกว่า มีหญิงและชายเกาหลีวัย 20-30 ปีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่คิดว่า หากจะแต่งงานก็ต้องการให้อยู่ด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง เลยต้องรู้รายละเอียดทุกอย่างของอีกฝ่าย เช่น ภูมิหลังด้านครอบครัว ศาสนา ตลอดจนการวางแผนเรื่องการมีลูกด้วย
บางคนอาจวิจารณ์ว่า การคิดแบบนี้ออกจะ "วัตถุนิยม" มากไปหน่อย แต่หนุ่มสาวแดนกิมจิจำนวนมากยืนยันว่า กันไว้ดีกว่าแก้ ยิ่งในสภาวะที่สถิติการหย่าร้างในประเทศสูงด้วยแล้ว สำนักสถิติเกาหลีรายงานว่า เมื่อปีที่แล้วมีคู่สมรสเกาหลีถึง 170,000 คู่ที่หย่ากัน คิดเป็น 230 คู่ต่อวันทีเดียว และสาเหตุหลักที่ระบุก็คือ อุปนิสัยต่างกัน
"พ่อสื่อ" ประจำบริษัทอีกแห่ง บอกว่า การให้ข้อมูลพื้นฐานแก่ลูกค้าก่อนที่ทั้งสองจะใช้ชีวิตร่วมกันก็เท่ากับเป็นการช่วยให้ลูกค้าสามารถข้ามขั้นตอนที่ไม่จำเป็น แต่การมี "ผู้ช่วย" แบบนี้ต้องใช้เงินไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะบริษัทจัดหาคู่มีขั้นตอนเยอะ รวมทั้งการตั้งคำถามถึง 150 ข้อ เพื่อที่จะหาข้อมูลของ "ว่าที่คู่สมรส" ตั้งแต่ การศึกษา จนถึง ฐานะ ทรัพย์สิน หุ้นในครอบครอง อสังหาริมทรัพย์ และรถยนต์ โดยลูกค้าจะได้รับข้อมูลของ "ว่าที่คู่สมรส" ถึง 8 คนเป็นอย่างน้อย เพื่อเอาไปศึกษาให้ถ่องแท้ก่อนตัดสินใจว่าจะเลือกจีบคนไหน
บริษัทซูนู เคยประสบความสำเร็จสูงสุดในการหาคู่ให้กับลูกสาวคนเดียวมหาเศรษฐีเกาหลี โดยใช้เวลาหนึ่งปีเต็มหลังผู้เป็นพ่อว่าจ้างบริษัทให้ทำหน้าที่พ่อสื่อ ทั้งนี้มหาเศรษฐีผู้พ่อระบุว่า ต้องการลูกเขยที่มีฐานะการเงินดี และจะต้องเข้ามาร่วมชายคาในบ้านหลังใหญ่และมีสมาชิกครอบครัวมากมายต้องเข้ากับเขาได้ด้วย
"เรื่องแบบนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว คนรุ่นเก่าอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องของคนเห็นแก่ตัวและนิยมวัตถุเอามากๆ แต่อีกแง่หนึ่งก็ถือเป็นเรื่องฉลาดและจะช่วยป้องกันการหย่าร้างได้ด้วย" คิม ซุง-วอน แห่งสถาบันสุขภาพและสังคม ให้ความเห็น ท่ามกลางความห่วงใยของบางคนที่กลัวว่า ช่องว่างทางเศรษฐกิจสังคมของผู้คนจะกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ หากหนุ่มสาวเกาหลีจะเข้าประตูวิวาห์โดยใช้ฐานะทางสังคมเป็นตัวตัดสิน

19 สิงหาคม 2552

คุณเคยแพ้มั้ย?

ความพ่ายแพ้... ดูแล้วไม่เป็นเรื่องที่พึงปรารถนาแต่คุณรู้ไหมว่าความพ่ายแพ้ทำให้คุณเป็นคนที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันแก่งแย่งตั่งแต่อนุบาลเลยทีเดียวพวกเราถูกปลุกฝังให้ตั้งเป้าหมายที่ต้องอาศัยการชนะคนอื่นๆเพื่อให้เข้าสู่เป้าหมายเราลองมองดูเพื่อนๆของเราจะเห็นว่าหลายๆคนเป็นคนที่แพ้ไม่ได้ ไม่ผิด พวกเขาไม่ผิดยิ่งถ้าเป็นคนที่มีการศึกษาสูง ย่อมทะเยอทะยาน มากพวกเขามุ่งที่จะชนะ ชนะ และชนะ แต่ถ้าเขาเกิดแพ้ขึ้นมาละเขาจะทนไม่ได้ และพยายามหาทางออกที่รุนแรง พวกเขาเป็นโรคแพ้ไม่เป็นโรคแพ้ไม่เป็นนี้รุนแรงมากครับ ยกตัวอย่างเช่นในเรื่องความรัก ลองถ้าคนแพ้ไม่เป็นอกหักขึ้นมาพวกนี้จะมีปฎิกิริยาโต้ตอบที่รุนแรงมากทางออกของคนเหล่านี้อาจรุนแรงถึงขั้นฆ่ากันตายอย่างที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวอยู่ทุกวันทำไมหรือ...ก็เพราะว่าเขาไม่รู้จักการที่จะมองเหรียญสองด้าน ว่า บางครั้งในเกมชีวิต เราจะชนะเรื่อยไปนั้นคงไม่ได้จะต้องมีบางเกมที่เรา ต้องรู้จักแพ้เปล่า...ไม่ใช่ไม่สู้แต่เมื่อถึงจุดที่เราเห็นว่าเราแพ้แล้วเราก็ต้องรู้จักที่จะยอมรับมันไม่ใช่ดันทุรังที่จะเอาชนะให้ได้แต่ฝ่ายเดียวเกมชีวิต...ถือเป็นเกมที่แตกต่างจากเกมอื่นๆรวมถึงเกมธุรกิจต่างๆที่ผู้เล่นมุ่งหมายจะเอาชนะอย่างเดียว แต่เกมชีวิตการพ่ายแพ้บางครั้ง กลับเป็นเรื่องที่มีค่ามากกว่าการชนะเราเคยลองถามตัวเองบางไหมว่า หากเราชนะ ชนะ และ ชนะโดยไม่รู้จักแพ้บางเลยนั้นสร้างความสูญเสียมิตรแท้ไปแล้วเท่าไรหรือทำให้เกิดศัตรูเพิ่มขึ้นมาหรือไม่แต่ถ้าเรายอมที่จะแพ้บาง เพื่อรักษา มิตรภาพอันดีผมถือว่าก็สมควรที่ยอมรับการพ่ายแพ้หลายคนคงเคยอ่านหนังสือประเภท How toที่เน้นให้มนุษย์เกิดความ ทะเยอทะยานและมีกลยุทธ์ต่างๆเพื่อเอาชนะคนอื่นแต่ผมว่าหนังสือประเภท How to ควรจะมีเรื่องของกลยุทธ์ต่างๆ ที่จะแพ้บ้างหากทุกคนในโลกนี้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นที่หนึ่งกันหมด Okมันคือความทะเยอทะยาน แต่คุณว่าสังคมมันจะน่าอยู่ไหมหากเราย่อมเป็นที่สอง หรือที่สามแต่เราสามารถที่จะสรรสร้าง ชีวิตให้มีความสุขได้สิ่งเหล่านี้มันมีคุณค่ามากกว่าหรือไม่ผมเห็นอ่านเรื่องราวนักธุรกิจหรือนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่แม้ว่าในหน้าที่ การงานของพวกเขาจะทำงานได้อย่างไร้ที่ติเขาชนะมาตลอด แต่ในเกมชีวิตพวกเขากลับสอบตกเพราะเขาเอานิสัยในการเอาชนะ กลับไปใช้ในครอบครัวเห็นบางคนเลี้ยงลูก ให้ลูกๆแข่งขันกันครับถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เราคงต้อง คอยบอกด้วยว่าเรามีสิทธิที่จะชนะและพ่ายแพ้เท่าๆกันบางคนสงสัยว่าหากเรายอมรับที่จะพ่ายแพ้นั้นเป็นการแสดงถึงความ อ่อนแอด้วยหรือไม่ ผมกลับมองว่าความพ่ายแพ้นี้เอง ที่จะเติมเต็มความเป็นมนุษย์ของเขาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเขาจะรู้จักดำรงชีวิตอย่างกล้าหาญที่จะเข้มแข็งต่อไปในอนาคตการที่คนหนึ่งจะย่อมรับถึงความพ่ายแพ้ผมว่าจะต้องใช้ความกล้าหาญ อยู่ไม่น้อยคนที่แพ้ไม่เป็นต่างหากละที่เป็นคนอ่อนแอ
ที่มา : เจ้วรรณ

24 แนวคิดเพื่อชีวิต

1. การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง
2.พระเจ้าอาจจะต้องการให้เราพบคนที่ไม่ใช่…ก่อนที่จะมาพบคนที่ใช่ เพื่อเวลาเราพบคนคนนั้นแล้ว เราจะได้รู้สึกซาบซึ้งถึงพรที่ทานประทานมา
3.ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความรู้สึก ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์ แบบรักใคร่ออกไปแล้ว
4.สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมาย อย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลังว่า เราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้นและจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป
5.เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น แต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนาน จนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูที่เปิดไว้รอเรา
6.เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือน ได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด
7.เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่าเรามี อะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไปแต่ก็จริง อีกเช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้าง จนกระทั่งสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา
8.การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคน ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็ให้พอใจว่า อย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเรา
9.มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมัน จากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวกโดยไม่รับฟังสิ่งนั้น จากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ
10.อย่าบอกลา ถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณไม่สามารถทำใจได้
11.ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง และมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน
12.การที่เราจะประทับใจใครนั้นใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต
13.อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียว สามารถทำให้วันที่หม่นหมอง กลับสดใส ขอให้คุณพบคนที่ทำให้คุณยิ้มได้
14.มีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณคิดถึงใครสักคน จนกระทั่งอยากดึงเขามาจากความฝัน เพื่อกอดเอาไว้ ขอให้คุณได้ฝันถึงคนพิเศษนั้น
15.ฝัน ถึงสิ่งที่คุณต้องการฝัน ไป ในที่ที่คุณต้องการไป เป็น ในสิ่งที่คุณต้องการเป็น เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว และมีโอกาสเดียวที่จะทำทุกสิ่งที่คุณต้องการ
16.ขอให้คุณมีความสุขมากพอ ที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอ ที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง มีความเศร้าโศกพอ ที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความหวังมากพอ ที่จะทำให้คุณเป็นสุข
17.เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวดจากสิ่งเดียวกันเช่นกัน
18.คำพูดที่ไม่ได้ยั้งคิดอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง คำพูดที่โหดร้ายอาจทำลายชีวิต คำพูดที่เหมาะกาละเทศะอาจลดความเครียด คำรักอาจเยียวยาและทำให้มีสุขได้
19.จุด19. จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารัก เป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้นจะหมายความว่าต้องการเพียงภาพสะท้อน ของตัวเราที่ปรากฎในตัวเขา
20.คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก
21.ความสุขรออยู่เบื้องหน้าผู้ที่มีน้ำตา ผู้ที่เจ็บปวด ผู้ที่ค้นหา และผู้ที่พยายามแล้ว เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้น ที่รู้จักคุณค่า ของผู้คนที่ได้สัมผัสชีวิตพวกเขา
22.ความรักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม งอกงามด้วยรอยจูบ และจบลงด้วยคราบน้ำตา
23.อนาคตที่สดใสมีรากฐาน อยู่บนอดีตที่ถูกลืม คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดี ถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ
24.คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้
ที่มา : pooyingnaka.com

คุณจะอยู่กับใคร?

ชายคนหนึ่งรักผู้หญิงสองคนพร้อมๆกันและไม่รู้ว่ารักใครมากกว่ากัน?มีคนสอนว่าเมื่อคุณมีเรื่องสุขใจใครกันเล่าเป็นคนแรกที่คุณคิดจะบอก? คนที่คุณคิดถึงก่อนคนแรกแท้จริงคือคนที่คุณรักมากกว่า(หน่อย)ไม่..นี่ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะพิสูจน์ความรักเวลาที่คุณมีเรื่องทุกข์ใจ ใครกันเล่าที่คุณคิดถึงก่อน? คนที่คุณคิดถึงก่อนนั่นแหละคือคนที่คุณรักมากกว่าหากคนที่คุณคิดถึงก่อนทั้งเวลาสุขและทุกข์คือคนๆเดียวกัน นั่นคือสิ่งที่วิเศษสุดแต่หากว่าเป็นคนละคนกัน เราแนะนำให้คุณเลือกคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณเวลาคุณมีเรื่องทุกข์ร้อนใจชีวิตคนเราทุกข์มากกว่าสุข เวลาคุณมีความสุขมีคนมากมายที่พร้อมจะแบ่งปันความสุขกับคุณ ไม่เพียงแต่เฉพาะแฟนสุดที่รักแม้กระทั่งเวลามีความสุขคุณยังสามารถอยู่ตัวคนเดียวได้แต่ไม่ใช่จะทุกคนที่พร้อมจะแบ่งปันความทุกข์ของคุณคุณพร้อมแบ่งปันความทุกข์ด้วยแท้จริงคือคนที่คุณต้องการมากที่สุดและอยากอยู่ใกล้ชิดมากที่สุดในทางกลับกันคนที่คิดถึงคุณเวลามีความสุขและไปหาผู้อื่นเวลามีความทุกข์เป็นคู่รักที่ไม่มั่นคงเอาเสียเลยเพราะเขาคนนั้นไม่คิดจะให้คุณเป็นคู่รักที่อยู่ร่วมทุกข์สุขด้วยตลอดชีวิตเราคงดีใจถ้าหากคนที่เรารักคิดถึงเราก่อนในเวลาที่เขามีความสุข แต่ถ้าอยากอยู่ใกล้ชิดเราเวลาที่เขามีความทุกข์เศร้าพร้อมให้เราเห็นตัวเขาในสภาพที่เขาอ่อนแอทุกข์ร้อนเราเชื่อว่าเราต้องมีความสำคัญมากๆในสายตาของเขา.............ในเวลาที่คุณมีความทุกข์เศร้า คุณคิดแบ่งปันกับใคร?